PERMA H คืออะไร?


PERMA +H
การที่เรามีอารมณ์ดี ๆ ในแต่ละวัน จะนำไปสู่การจัดการความรู้สึกของตัวเอง และการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ในเชิงสร้างสรรค์หรือมีวุฒิภาวะขึ้น
อารมณ์เชิงบวกของเรามีหลากหลายมากกว่าแค่คำว่า ‘มีความสุข’ การวิจัยของ Barbara Fredrickson ได้กำหนด 10 อารมณ์เชิงบวกที่แตกต่างกัน ได้แก่ ความสนุกสนาน, รู้สึกขอบคุณซาบซึ้ง, รู้สึกสงบ, มีแรงบันดาลใจ, มีความหวัง, รู้สึกรัก, รู้สึกเคารพ, รู้สึกเพลิดเพลิน, มีความตื่นเต้นสนใจ, และรู้สึกภาคภูมิใจ
หากเราสะสมประสบการณ์ที่มีอารมณ์เชิงบวกเยอะๆ เมื่อพบเจอกับความทุกข์หรืออุปสรรคต่าง ๆ ก็จะสามารถฟื้นตัวเองกลับมาได้
การสร้างอารมณ์เชิงบวก เช่น การทวบทวนประสบการณ์ดีๆที่เคยเกิดขึ้น ลองเขียนออกมาว่าในเหตุการณ์นั้นเรารู้สึกยังไง หรือการให้อภัยการกระทำของตัวเอง ซึ่งอาจจะต้องใช้การตกผลึกบางอย่าง เราสามารถเขียนไดอารี่เพื่อทบทวนตนเองและเข้าใจตนเอง (self awareness)ได้ในทุกๆวัน
การมีส่วนร่วม (Engagement) เมื่อเรารู้สึกร่วม สนุกไปกับสิ่งที่ทำจนเผลอลืมเวลาจะเข้าสู่ภาวะลื่นไหล (flow state) หรือเรียกอีกอย่างว่า “จดจ่อกับสิ่งที่ทำจนเพลิน” เราจะไม่รู้สึกถึงความกังวลในเรื่องอื่น ๆ หรือรู้สึกเบื่อหน่าย แต่เราจะได้พัฒนาความสามารถของตนเองในสิ่งที่กำลังทำ ท้าทายความสามารถของตนเอง และสามารถทำในสิ่งเหนือความคาดหมายได้ การมีส่วนร่วมนี้ยังเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้เราสามารถกำกับตัวเอง (Self-regulation) หรือการห้ามใจให้วอกแวกหรือล้มเลิก และสร้างแรงจูงใจจากภายใน (internal motivation) หรือมีความสนใจความต้องการที่ทำเพื่อพัฒนาทักษะต่างๆของตนเอง
สิ่งที่หนึ่งที่จะทำให้รู้ว่าเราจะสามารถมีภาวะลื่นไหล (flow state) ในเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องกีฬา หรืองานอดิเรก เราต้องเริ่มจาก “หาสิ่งที่สนใจ-ลองลงมือทำ-ฝึกฝน” จนหาสิ่งที่ใช่กับตัวเองเจอ และอีกสิ่งที่ช่วยได้คือ การลองสำรวจจุดแข็งเชิงบวกของตนเองก็ช่วยไกด์เป็นแนวทางให้เราได้เช่นกัน
ความสัมพันธ์เชิงบวกหมายถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวเอง และระหว่างตัวเรากับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน คนรัก คนที่ทำงาน หรือคนอื่น ๆ ในสังคมของเรา การมีความสัมพันธ์ที่ดีเราจะต้องรู้สึกว่าได้รับความรัก รู้สึกว่ามีคนเห็นคุณค่า และพร้อมที่จะสนับสนุนเราเสมอ รวมทั้งสามารถทำให้คนรอบข้างเรารู้สึกเช่นเดียวกันเพื่อรักษาความสัมพันธ์นั้น
หากเราไม่รู้จะเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อใคร การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็เป็นอีกวิธีที่รักษาความสัมพันธ์ที่เริ่มได้จากตัวเราเอง นอกจากนั้นการหาเวลาว่างร่วมทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นก็ยิ่งกระชับสัมพันธ์กันมากขึ้น และได้เรียนรู้การมีความสัมพันธ์ที่ดีจากคนอื่น
ชีวิตที่มีความหมาย นั้นก็คือ การรู้จักตัวเองมากขึ้น การรับรู้ว่านอกเหนือจากเงิน สิ่งที่ทำอยู่นั้นคืออะไร ทำไปเพื่ออะไร ซึ่งแต่ละคนย่อมมีความหมายของการใช้ชีวิตแตกต่างกัน สำหรับบางคนคือการได้สร้างสิ่งใหญ่ๆให้กับสังคม บางคนคือการได้ดูแลครอบครัว บางคนคือชื่อเสียง บางคนคือการได้ช่วยเหลือคนอื่น แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร สิ่งเหล่านี้จะทำให้ตัวเรารู้สึกมีคุณค่า มีจุดหมาย รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่าง การที่เรารู้จักตัวเองว่าเราให้ความสำคัญกับอะไรในชีวิตนำไปสู่ความพึงพอใจในตัวเอง
การหาว่าอะไรคือสิ่งที่เราให้ค่าให้ความหมายในชีวิต จำเป็นต้องใช้เวลา เริ่มจากลองเขียนขอบคุณตัวเราและสิ่งรอบตัว (Gratitude journal) ในแต่ละวันว่ามีอะไรบ้างที่อยากขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เพื่อฝึกนิสัยให้มองเห็นความสุขเล็กน้อยในชีวิตเรา นอกจากนี้การลงมือทำกิจกรรมที่หลากหลายทั้งสิ่งที่เราสนใจ และสิ่งที่ไม่ได้สนใจ ณ ตอนนั้นก็เป็นการสร้างประสบการณ์ก่อนที่จะรับรู้ว่าอะไรที่เราให้ค่าให้ความหมายกับสิ่งนั้น
ความสำเร็จเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลา บางทีเราอาจจะมองข้ามไปอย่างเรื่องเล็กในชีวิตประจำวัน เช่น กินข้าวหมดจาน ได้อ่านหนังสือ ได้เลิกงาน และเรื่องใหญ่ๆที่อาจจะต้องใช้ความพยายาม ความอดทน ความสามารถ เช่น การสอบติดมหาลัย การสัมภาษณ์งาน การลดน้ำหนัก ต่างเป็นพลังความสำเร็จ เป็นแรงใจให้เราทำสิ่งอื่นๆสำเร็จได้ต่อไป
สิ่งที่ช่วยเป็นแรงไปสู่ความสำเร็จก็คือกำลังใจที่ดี ซึ่งการใจดีต่อตัวเอง (Self compassion) ก็เป็นวิธีหนึ่งในการนำตัวเราไปสู่ความสำเร็จ โดยการอ่อนโยนกับตัวเราสักนิด ยืดหยุ่นกับตัวเราสักหน่อย ไม่ตัดสินตัวเอง หรือเอาตัวเราไปเปรียบเทียบคนอื่น หรือบางครั้งเราอาจจะต้องอาศัยเพื่อนที่ดีสักคน ช่วยบอกว่าเราทำอะไรได้ดี เป็นกำลังใจให้เราเพื่อไปสู่เป้าหมายของเรา
การดูแลสุขภาพกายให้ดีนำมาสู่ชีวิตที่มีคุณภาพ การนอนหลับนั้นเป็นส่วนสำคัญในการรักษาทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจ เมื่อเรานอนหลับในเวลาที่เหมาะสม (7-8 ชั่วโมงติดกันในช่วงกลางคืน) เราย่อมรู้สึกสดชื่นแจ่มใส พร้อมต่อการทำกิจกรรมและรับมือกับสิ่งที่จะเข้ามา แต่หากนอนไม่พอแนวโน้มที่เราจะมีอารมณ์หรือความคิดเชิงลบก็มากขึ้น
เราสามารถปรับพฤติกรรมตนเองเพื่อให้หลับได้ง่ายขึ้น เช่น การนอนในที่มืดสนิท จุดเทียนหอมก่อนนอน งดคาเฟอีน ออกกำลังกาย ทำสมาธิ หรือการเขียนเพื่อผ่อนคลายก่อนนอน แต่ถ้าหากปัญหาการนอนหลับเกี่ยวข้องกับปัญหาทางใจเช่น ความชอกช้ำทางจิต (trama) เครียดสะสม วิตกกังวล และซึมเศร้า ให้รับคำปรึกษาจากนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์เพื่อทำความเข้าใจสาเหตุและร่วมหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง