24 character strengths คืออะไร?

คือ ทักษะที่สำคัญที่สุดของเราเมื่อจะต้องเผชิญเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวัน ซึ่งอุปนิสัยเชิงบวก หรือ Character Strength สามารถให้พลังงานแก่ผู้ใช้ และยังช่วยให้เผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย อุปนิสัยเชิงบวก เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของจิตวิทยาเชิงบวก เป็นสิ่งที่ทำให้จิตวิทยาเชิงบวกดำรงอยู่อย่างมั่นคง ซึ่งการที่เราสามารถค้นพบอุปนิสัยเชิงบวก หรือ Character Strength จะทำให้เราสามารถพัฒนาความสามารถเกี่ยวกับวิธีการคิดที่มีอยู่ให้เติบโตขึ้น หรือเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองได้มากขึ้นด้วย

24 Character Strengths

ลองเดาว่าตัวเองมี Character แบบไหนบ้าง ?

ความกล้าหาญ - Bravery

คนที่มีลักษณะจุดแข็งเชิงบวกด้านความอดทน คือคนที่สามารถจัดการกับสิ่งที่เริ่มต้นไว้ให้เสร็จสิ้น ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรค หรือความน่าเบื่อมากแค่ไหนก็ตาม โดยคนที่มีจุดแข็งนี้มีจุดเด่น ในการสร้างภาวะของการลื่นไหล หรือเพลิดเพลินในการทำงาน (flow) ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากความมั่นคงภายในจิตใจ

เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนผ่านความคิดและพฤติกรรมที่มีความแปลกใหม่และแตกต่าง โดยความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและต่อสังคมคนรอบข้าง ตามองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ที่ประกอบด้วย ความแปลกใหม่ แตกต่างจากที่มีอยู่ และความคิดนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือต่อผู้อื่นด้วย

ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่สามารถเสริมสร้างและพัฒนาได้ จากการวิจัยพบว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญาหรือความเฉลียวฉลาด

ความคิดสร้างสรรค์สามารถแสดงออกในสายงานหรือสาขาอาชีพต่าง ๆ แตกต่างกัน เช่น ในสายศิลป์ (ผ่านงานศิลปะ ดนตรี ออกแบบ หรือบทกวี) ในสายวิทย์ (ผ่านการสร้างวิจัย ทฤษฎีต่าง ๆ ) ในสายธุรกิจ (ผ่านกลยุทธ์บริษัท แผนการตลาด) ในชีวิตประจำวันทั่วไปได้ (การวางแผนจัดการเวลา การวางแผนการเดินทาง การแก้ไข ปัญหาในครอบครัวหรือปัญหาในความสัมพันธ์)

เป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับความสงสัยและการตั้งคำถาม มักจะชอบเข้าหาสถานการณ์หรือสิ่งที่แปลกใหม่ ชอบทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน มักจะมีความสุขเมื่อได้ทำกิจกรรมที่มีความท้าทายสูงหรือเมื่อได้เผชิญประสบการณ์ใหม่ ๆ และอาจเกิดความเบื่อหน่ายได้ง่ายหากต้องอยู่กับกิจวัตรที่จำเจ

อีกทั้งยังชอบหาความรู้ใหม่ ๆ เมื่อคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นได้รับข้อเท็จจริงใหม่ที่ขัดแย้งกับความเชื่อเดิมของตัวเอง ก็จะก่อเกิดความสงสัยและค้นหาข้อมูลจนสิ้น ความสงสัย และยังชอบค้นหาข้อมูลใหม่ ๆ ที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับโลกรอบตัวมากขึ้น

เป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จะไม่รีบด่วนสรุป มักใช้ข้อมูลและหลักฐานที่ผ่านการคิด ทดสอบตามความเป็นจริงในการนำมาซึ่งข้อสรุป ไม่ใช้ความเชื่อส่วนตัวในการตัดสินใจ หรือเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงเพราะผู้อื่นกล่าวกันต่อ ๆ มา คนเหล่านี้มักจะมีการศึกษาหาข้อมูลก่อนการตัดสินใจหรือก่อนจะเชื่ออะไรบางอย่าง พร้อมรับข้อมูลที่ขัดแย้งจากความเชื่อเดิมของตัวเอง

คนที่มีอุปนิสัยนี้ไม่ยึดมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ถูกต้องเสมอไป พร้อมปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเองให้สอดคล้องกับความเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้หมายถึงการรับฟังทุกคนจนสามารถถูกโน้มน้าวใจได้ง่าย และไม่ได้หมายถึงการไม่เชื่อในสิ่งใดเลยจนขาดสิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิต

อีกทั้งสิ่งที่ตรงข้ามกับอุปนิสัยนี้ คือ การมีอคติทางความคิด เชื่อข่าวสารต่าง ๆ เพียงเพราะมาจากพรรคพวกของตัวเอง การถูกผู้อื่นโน้มน้าวใจได้ง่าย การตัดสินใจตามเสียงส่วนใหญ่ของกลุ่มโดยไม่คิดวิเคราะห์ถึงปัญหาด้วยตัวเอง

เป็นอุปนิสัยที่มีความรู้สึกในเชิงบวกต่อเมื่อได้รับทักษะ หรือความรู้ใหม่ มองว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งท้าทายและเป็นประโยชน์ ซึ่งคนที่มีอุปนิสัยด้านนี้มักจะเป็นคนที่พยายามค้นคว้าหา ความรู้ เมื่อรู้อะไรแล้วต้องรู้ให้ลึก รู้ให้จริง และพยายามใช้ความรู้เหล่านั้นมาตอบสนองต่อการพัฒนาตัวเองในระยะยาวของชีวิตตัวเอง

มักจะให้ความสำคัญกับทักษะความรู้ (mastery orientation) มากกว่าผลลัพธ์ กล่าวคือเป็นการวัดความสำเร็จในการเรียนรู้ของตัวเองจากพัฒนาการที่เกิดขึ้น โดยสนใจว่าตัวเองพัฒนาทักษะความรู้มากแค่ไหน มากกว่าจะวัดความสำเร็จของตัวเองจากตัวชี้วัดที่ตายตัว เช่น ตัวเลขในเกรด การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น ซึ่งวิถีคิดที่ให้ความสำคัญกับทักษะความรู้สอดคล้องกับวิถีคิดแบบเติบโตด้วย (growth mindset)

มักจะให้คุณค่าและความหมายกับสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ (value) ด้วยเช่น สิ่งที่เรียนรู้นี้ให้ประโยชน์อะไรกับตัวเองในอนาคต และพวกเขามีความสนใจ (interest) ในสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้อย่างมาก ดังนั้นจึงทุ่มเทเวลาและความคิดให้กับสิ่งที่สนใจจนรู้ถึงสิ่งนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง

ความเหมือนต่างเมื่อเทียบกับความอยากรู้อยากเห็น (curiosity) จะพบว่ามีความเหมือนกันในแง่ที่ทั้งคู่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ใหม่ ๆ ให้กับบุคคล แต่ความรักในการเรียนรู้นั้นเป็นการเพิ่มความรู้ในสิ่งที่สนใจอยู่แล้วให้มี ความลึกซึ้งมากขึ้น เป็นการเรียนรู้ในเชิงลึกเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ ในขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็น การเพิ่มความรู้ในวงกว้าง เป็นการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ ที่อาจไม่ใช่การเสริมความรู้ ความเชี่ยวชาญเดิมที่มีอยู่

เป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวกับการมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง สามารถมองเห็นทั้งภาพรวมและองค์ประกอบย่อยเหล่านั้น เมื่อได้เรียนรู้มุมมองใหม่ ๆ ก็สามารถบูรณาการมุมมองเหล่านั้นเข้ากับมุมมองเดิม ทำให้เกิดความเข้าใจโลกและชีวิตที่รอบด้านมากขึ้น นอกจากนี้ยังตระหนักรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้อยู่นิ่ง แต่มีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอด จึงไม่ได้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ แค่ในระยะสั้น แต่มองเห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวด้วย

การมีมุมมองที่หลากหลายสะท้อนให้เห็นผ่านมุมมองที่บุคคลมีต่อตัวเอง ต่อคนรอบตัว ต่อสังคม ต่อโลก ต่อคุณค่าและความหมายต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นมุมมองทางบวกและสะท้อนถึงความเป็นจริง ดังนั้นแล้ว คนที่มีอุปนิสัยนี้จึงสามารถให้คำแนะนำที่ดีแก่ผู้อื่น สามารถเข้าใจปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างรอบด้านและแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม และส่งผลให้ผู้อื่นรู้จักตัวเอง และเข้าใจโลกรอบตัวมากขึ้น

เป็นอุปนิสัยที่สามารถยืนหยัดเอาชนะความกลัวภายในจิตใจของตัวเองได้ กล้าเผชิญหน้ากับความจริง ความถูกต้องแม้สิ่งที่ทำจะเป็นการกระทำของคนส่วนน้อยก็ตาม มักมีองค์ประกอบคือ การเผชิญหน้า (facing) ซึ่งเกิดจากความสมัครใจ ไม่ได้เกิดจากการบังคับกดดันจากคนอื่น มีการตัดสินใจไตร่ตรองก่อนลงมือกระทำ และทำลงไปทั้ง ๆ ที่เกิดความกลัวในใจ รับรู้ถึงความเสี่ยง หรืออาจพบกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น แต่ก็ยังเต็มใจที่จะทำทั้ง ๆ ที่กลัว และสิ่งที่ทำนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง แก่ผู้อื่น หรือแก่ส่วนรวม ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นประเภทต่าง ๆ ได้ตามนี้

1. ความกล้าในทางกายภาพ (physical bravery) คือ ความกล้าที่จะเผชิญความกลัวที่เกี่ยวกับร่างกาย เช่น การบาดเจ็บ ความตาย ความเหนื่อยล้า ความยากลำบาก เหมือนสถานการณ์คนที่สมัครเป็นทหารเพื่อเข้าสู้รบในสงคราม คนที่กำลังเผชิญกับโรคร้ายที่รักษาไม่ได้แต่ก็ยังมีกำลังใจในการใช้ชีวิต

2. ความกล้าในทางจิตใจ (psychological bravery) คือ ความกล้าที่จะเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ของตัวเอง เช่น กล้ายอมรับว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ กล้ายอมรับว่าตัวเองกลัวการนำเสนอหน้าชั้นเรียน กล้าที่จะแก้ปัญหาส่วนตัวของตัวเองและกล้าขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

3. ความกล้าในทางจริยธรรม (moral bravery) คือ ความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าถูกต้อง แม้จะกลัวผลกระทบทางสังคมที่ตาม เช่น การปฏิเสธไม่ทดลองยาเสพติดกับเพื่อน แม้จะรู้ว่าอาจถูกเพื่อนปฏิเสธออกจากกลุ่ม การกล้าให้ความเห็นที่แตกต่างใน social media แม้อาจจะถูกผู้อื่นนำไปประจานหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ การบอกความจริงกับเจ้านาย แม้อาจถูกไล่ออก ถูกลดตำแหน่ง หรือถูกหักเงินเดือน

4. ความกลัวที่เราเผชิญหน้าอาจเป็นความกลัวทั่วไปที่ทุกคนมี (general bravery) เช่น การเข้าไปช่วย คนที่กำลังถูกปล้น หรืออาจเป็นการเผชิญหน้ากับความกลัวส่วนตัวของเราเองก็ได้ (personal bravery) เช่น ความกลัวแมลง ความกลัวการนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น

เป็นอุปนิสัยที่สามารถจัดการกับสิ่งที่เริ่มต้นไว้ให้ไปถึงเป้าหมาย ประกอบไปด้วยความพยายาม และการกระทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรค หรือความน่าเบื่อมากแค่ไหนก็ตาม ก็สามารถไปต่อได้ เพราะสามารถสร้างภาวะที่ตัวเองสามารถที่จะสนุก เพลิดเพลินต่อสิ่งที่ทำอยู่ได้ หรือมีการเพิ่มความอดทนไม่ว่าจะเจออุปสรรคแค่ไหนก็ตาม ก็จะมีความมั่นคงในจิตใจที่จะนำตัวเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้

มักจะเป็นการพาตัวเองไปพบกับความท้าทายและมองว่านี้คือโอกาสในการเรียนรู้ เป็นความท้าทายที่ต้องเอาชนะ ดังนั้นคนที่มีความมุมานะที่เต็มไปด้วยความเชื่อ ความคิด ความยึดมั่นในคุณค่าและเป้าหมายของตัวเอง จะสามารถจัดระเบียบวางแผนตัวเองในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น กำหนดเวลาพัก การให้รางวัลตัวเองระหว่างทางไปถึงเป้าหมาย ทำให้คนที่มีความุมานะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้

ความเหมือนต่างเมื่อเทียบกับการกำกับตัวเอง (self-regulation) จะแตกต่างกันตรงที่ความมุมานะเป็นการควบคุมตัวเองในระยะยาวจนกระทั่งเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้สำเร็จลุล่วง แต่การกำกับตัวเองเป็นการมีสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน ณ ขณะใดขณะหนึ่ง และกำกับตัวเอง ณ ขณะนั้น อย่างไรก็ตาม การกำกับตัวเองก็มีส่วนช่วยให้บุคคลบรรลุเป้าหมายด้วย

เป็นอุปนิสัยที่แสดงออกถึงความจริงใจ (authenticity) รับผิดชอบต่อความรู้สึกและการกระทำของตัวเอง หมายความว่าต่อให้ความจริงจะเป็นสิ่งที่เขาชอบหรือไม่ชอบ เขาจะซื่อตรงต่อความจริงนั้น ๆ และสื่อสารออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา โดยเขาจะเคารพในความแตกต่างของคนอื่นด้วย ไม่ใช่ว่าจะถือความจริงของตัวเองเพียงอย่างเดียว เช่น อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เกินความเป็นจริง ไม่พูดน้อยกว่าความจริง ไม่บิดเบือน หรือตัดทอนเนื้อหาเหตุการณ์บางอย่างออก รวมไปถึงการพูดตามความคิด ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง

ความซื่อสัตย์สัมพันธ์กับความฉลาดทางสังคม ในแง่ของความเป็นหนึ่งในตัวเอง โดยที่คน ๆ หนึ่งจะมีความสอดคล้องในตัวเองได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจตัวเอง ซึ่งความเข้าใจตัวเอง (personal intelligence) ก็เป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยความฉลาดทางสังคม

เป็นอุปนิสัยที่สามารถเติมเต็มความรู้สึกมีชีวิตชีวา ทั้งกับตัวเองและคนรอบตัวได้เป็นอย่างดี ซึ่งมักจะสามารถสร้างช่วงเวลาแห่งความเพลิดเพลินในสิ่งที่ทำ (flow) ได้อย่างสม่ำเสมอ มีความสนุกสนาน และสามารถที่จะแผ่ขยายความเพลิดเพลิน หรือพลังงานดี ๆ ไปให้กับคนรอบตัวได้ พร้อมริเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ ที่อยากทำ พร้อมเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัวตามความต้องการของตัวเอง

ถือเป็นพลังงานทางบวกที่แสดงออกผ่านความมีชีวิตชีวา ความตื่นตัวพร้อมทำสิ่งต่าง ๆ ความไม่เหนื่อยล้าในการทำงาน ซึ่งพลังงานเหล่านี้ทำให้คนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิต สามารถ ปล่อยให้ความคิดและจิตใจกลายเป็นส่วนหนึ่งกับงานที่ทำ สามารถสร้างความหมายและคุณค่าในชีวิตและใน กิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำ พร้อมซึมซับความหมายและคุณค่าเหล่านั้นให้เป็นส่วนหนึ่งของตัวตน ทำให้ชีวิตรู้สึกมีคุณค่าและมีเป้าหมาย

ความกระตือรือร้นเกี่ยวข้องกับปัจจัย 2 ปัจจัย ได้แก่

1. ปัจจัยด้านร่างกาย สะท้อนผ่านร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง ปราศจากความอ่อนแอและความเหนื่อยล้า

2. ปัจจัยด้านจิตใจ สะท้อนผ่านเจตจำนงของบุคคล (volition) หรือความสามารถในการควบคุมการกระทำของตัวเอง และความสามารถในการควบคุมสิ่งต่าง ๆ รอบตัว (effectance)

เป็นอุปนิสัยที่ให้คุณค่าและความสำคัญกับคนที่ใกล้ชิดทั้งเพื่อน ครอบครัว และคนรัก มักจะเลือกใช้เวลา หรือทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อทำให้คนที่รักมีความสุข มีทักษะในการแสดงความรัก แสดงออกถึงความใกล้ชิดในแบบที่อบอุ่นและจริงใจ เป็นการแสดงความใจดีในรูปแบบความสัมพันธ์ ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงระหว่างกัน และเป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกปลอดภัยด้วย

ความรัก คือ การตอบแทนซึ่งกันและกัน หมายความว่านอกจากจะรักผู้อื่น ก็ยังเต็มใจที่จะรับความรักจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน สามารถสร้างความผูกพันที่ดีกับผู้อื่น ไม่เกรงกลัวหรือพยายามถอยห่างออกจากความสัมพันธ์ ไม่วิตกกังวลว่าอีกฝ่ายคิดลบกับตัวเอง พวกเขามั่นใจในคุณค่าของตัวเองเช่นเดียวกับที่มองเห็นคุณค่าของอีกฝ่ายใน ความสัมพันธ์

ความรักเกี่ยวข้องกับความรู้สึกเชิงบวก สายใยสัมพันธ์ และการเสียสละ เราสามารถผัสได้จาก ความรักความผูกผันของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ความรักแบบมิตรภาพกับเพื่อน ความรักแบบโรแมนติก หรือความรักแบบอื่น ๆ เช่น ความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยง และความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งคนที่มีจุดแข็งความรัก จะสามารถรักษาความพึงพอใจในชีวิต และมองว่าตัวเองมีคุณค่า

เป็นอุปนิสัยที่ให้ความสำคัญกับการทำเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่น การมอบความห่วงใย ความเอาใจใส่ ให้ความช่วยเหลือ และดูแลโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มองเห็นคุณค่าของคนรอบตัวพร้อม ที่จะยื่นสิ่งดี ๆ ให้

โดยเกิดจากองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่

1. ความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (empathy หรือ sympathy) คือ ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น หรือความรู้สึกกังวล สงสารผู้ที่ตกอยู่ใน ความลำบาก ซึ่งก่อให้เกิดแรงจูงใจที่จะเข้าช่วยเหลือผู้อื่น

2. การให้เหตุผลทางจริยธรรม (moral reasoning) คือ ความสามารถในการตัดสินว่าการกระทำหนึ่งถูกหรือผิดด้วยเหตุผลใด เมื่อคนมีการใช้เหตุผลทางจริยธรรมที่เหมาะสมก็จะมีพฤติกรรมที่ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน

3. ความรับผิดชอบต่อสังคม (social responsibility) คือ ความเชื่อว่าตัวเองมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะทำสิ่งดี ๆ เพื่อผู้อื่นในสังคม โดยเป็นหน้าที่ที่พึงมีโดยไม่ต้องมีผลตอบแทน

อุปนิสัยความใจดีนี้ต่างจากความรัก (love) ตรงที่อุปนิสัยด้านความรักนั้นสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม และความรักเป็นสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันทั้งคู่ ไม่ได้มีคนที่เป็นฝ่ายให้หรือฝ่ายรับเพียงคนเดียว แต่ความใจดีนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ แม้จะเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ผู้ที่มีอุปนิสัยความใจดีก็สามารถแสดงความห่วงใยแก่เขาได้ และความใจดีที่แสดงออกมานั้นไม่คาดหวังการตอบแทน ผู้ที่มอบความเอาใจใส่แก่ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องได้รับความเอาใจใส่กลับก็ได้

เป็นอุปนิสัยที่ยอมรับในเอกลักษณ์และความแตกต่างกันของคนแต่ละคน และมีทักษะในการตอบสนองต่อความแตกต่างกันนั้นแบบรายบุคคลได้ โดยถือว่าเป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสังคม ความเข้าใจตัวเอง ความเข้าใจผู้อื่น และความเข้าใจว่าตัวเองควรปฏิบัติตัวเองอย่างไรในสถานการณ์ต่าง ๆ ความฉลาดทางสังคมประกอบไปด้วยด้าน ต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่

1. ความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) คือ การเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น และตัวเอง พร้อมทั้งสามารถนำความเข้าใจนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิ

2. ความฉลาดในการเข้าใจตัวเอง (personal intelligence) คือ การเข้าใจตัวเอง ความคิด ค่านิยม แรงจูงใจของตัวเอง ความสามารถและข้อจำกัดของตัวเอง รวมไปถึงการยอมรับตัวเองด้วย

3. ความฉลาดทางสังคม (social intelligence) คือ การเข้าใจโครงสร้างของสังคม เข้าใจมิติต่าง ๆ ของความสัมพันธ์ที่ตัวเองมีการเข้าใจผู้อื่น และสามารถนำความเข้าใจนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์

ความฉลาดทางสังคมนี้มีความหมายคล้ายกับการมีมุมมองที่หลากหลาย (perspective) ในแง่ที่อุปนิสัยนี้ช่วยให้คนมีมุมมองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวและความสัมพันธ์ในสังคมที่รอบด้าน และทำให้ผู้ที่มี อุปนิสัยนี้สามารถให้คำแนะนำที่ดีกับผู้อื่นได้ นอกจากนี้ความฉลาดทางสังคมยังเป็นรากฐานของอุปนิสัยเชิงบวกอื่น ๆ เช่น ความใจดี (kindness) ความรัก (love) ความเป็นผู้นำ (leadership) อารมณ์ขัน (humor)

เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนถึงการตระหนักถึงหน้าที่ของตัวเองในสังคม (citizenship) และการมีทักษะในการทำงานเป็นทีม (teamwork) ทำให้ผู้ที่มีอุปนิสัยนี้เป็นคนที่สามารถร่วมแรงร่วมใจกับผู้อื่นถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีความคิดเห็นต่างกันเพื่อหาแนวทางที่ทุกคนในทีมสามารถมีส่วนร่วมและสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันได้ มีความมุ่งมั่นทำงานเพื่อกลุ่มหรือสังคมที่ตัวเองอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยตอบสนองต่อความต้องการของตัวเองด้วย แต่จะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ส่วนรวมของสังคม (common good) มากกว่า ซึ่งอาจหมายถึงกลุ่มเพื่อนสนิท ครอบครัว ทีมงานในองค์กร ประเทศชาติ หรือแม้แต่มวลมนุษยชาติ

ความเป็นพลเมืองและการทำงานเป็นทีมเกี่ยวข้องกับมโนทัศน์ 3 ประการที่มีความหมายใกล้เคียงและสัมพันธ์กัน ซึ่งทั้ง 3 มโนทัศน์ ล้วนมีความหมายที่สอดคล้องกับการสรรสร้างและกระจายผลประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมทั้งสิ้น ได้แก่

1. ความรับผิดชอบต่อสังคม (social responsibility) คือ แนวโน้มที่บุคคลจะช่วยเหลือผู้อื่นหรือสังคม ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ผลประโยชน์จากการกระทำนั้นก็ตาม

2. ความภักดี (loyalty) คือ ความยึดมั่นและการเชื่อมั่นในคุณค่าหรืออุดมการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพที่มีร่วมกับเพื่อน เป้าหมายขององค์กร หรือหลักปฏิบัติของศาสนา

3. ความรักชาติ (patriotism) คือ ความภักดีต่อบ้านเกิดหรือประเทศชาติของบุคคล โดยปราศจากความเป็นปรปักษ์ต่อประชาชนของชาติอื่น ซึ่งแตกต่างจากความหมายของคำว่า “ชาตินิยม” (nationalism)

ความเป็นพลเมืองและการทำงานเป็นทีม ไม่ใช่การทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมอย่างไร้เหตุผล หรือการรับใช้สังคมโดยไม่ตั้งคำถาม แต่คือการทำเพื่อสังคมโดยการคิดวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่สังคมจะได้รับอย่างรอบคอบและมีเหตุผล (informed judgment)

เป็นอุปนิสัยที่เคารพในความเสมอภาคและความเท่าเทียม ไม่ใช้ความรู้สึกหรืออคติส่วนตัวในการตัดสินผู้อื่น พร้อมที่จะหยิบยื่นโอกาสให้กับผู้คนอย่างเท่าเทียม มุ่งมั่นที่จะตัดสินและปฏิบัติต่อบุคคลบนกฎเกณฑ์และมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งการตัดสินดังกล่าวเป็นผลผลิตจากการใช้เหตุผลทางศีลธรรม (moral reasoning) ประกอบไปด้วยการใช้เหตุผล 2 แบบ ได้แก่

1. การใช้เหตุผลด้วยตรรกะ (justice reasoning) คือ การตัดสินความถูกผิดโดยไม่ใช้ความคิดเห็นหรือความรู้สึก (objective) ส่วนตัวมาเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสิน โดยจะวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยเหตุและผลเท่านั้น

2. การใช้เหตุผลด้วยความรู้สึก (care reasoning) คือ การตัดสินความถูกผิดโดยการทำความเข้าใจผู้อื่น (empathy) และการใช้ทักษะการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (compassion) เพราะความคิดเห็นของทุกคนมีความสำคัญ

เพราะว่าการใช้เหตุผลเหล่านี้ในการตัดสินว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด จะขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางความคิดและแนวทางการดำเนินชีวิตของบุคคลเอง จึงทำให้อุปนิสัยด้านความเท่าเทียมจะมีลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล ทั้งในแง่ของความมุ่งมั่นในความเท่าเทียมและการให้เหตุผลทางศีลธรรม อย่างไรก็ดี การที่บุคคลจะมีอุปนิสัยด้านความเท่าเทียมที่เหมาะสมได้ บุคคลนั้นจะต้องยืนหยัดต่อความเท่าเทียมในทุกความสัมพันธ์ของตัวเอง มีทักษะในการสร้างข้อตกลงอย่างเที่ยงธรรมผ่านการใช้เหตุผลทางนามธรรม (abstract logic) ให้ความสำคัญต่อความเป็นธรรมทางสังคม (social justice) ใส่ใจต่อมุมมองของบุคคลอื่น และมีความสามารถในการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผล

เป็นอุปนิสัยที่ช่วยนำพาให้คนในกลุ่มสามารถเดินทางสู่เป้าหมายได้และรักษาความสัมพันธ์ของคนในกลุ่มไปพร้อมกันด้วย อีกทั้งยังสามารถสร้างขวัญและกำลังใจให้กับสมาชิกภายในกลุ่มได้เป็นอย่างดี ผู้ที่มีความเป็นผู้นำจะมีการประสานงานกันระหว่างความสามารถทาง ความคิด (cognitive attribute) และทางอารมณ์ (temperament attribute) ที่ดี ซึ่งจะนำไปสู่ทักษะที่จำเป็นมากมายตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย วางแผน ประเมิน แก้ปัญหา การบริหารจัดการตัวเองและผู้อื่น ไปจนถึงการมีจิตวิทยาที่ดีในการสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น

โดยอีกคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นผู้นำที่ดี คือการรู้จักตัวเอง (self-awareness) กล่าวคือ การเป็นผู้นำที่ดีจำต้องรู้จุดแข็งของตัวเองและสามารถใช้จุดแข็งเหล่านั้นเพื่อดึงศักยภาพของคนรอบข้างให้ปรากฏออกมาได้ อีกทั้งยังต้องมีความตระหนักรู้ทางสังคมด้วย (social awareness) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้บุคคลมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับคนได้อย่างหลากหลายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง บุคคลที่มีความเป็นผู้นำจึงสามารถที่จะนำพากลุ่มไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความเป็นผู้นำสามารถแบ่งออกเป็น 2 มุมมอง ได้แก่

1. มุมมองทางปฏิบัติ (practice) คือ การมองความเป็นผู้นำว่าเป็นลักษณะของความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ตามและผู้นำ ซึ่งเป็นบทบาทที่กลุ่มเลือกหรือตั้งขึ้นมา หากมองความเป็นผู้นำในมุมนี้ คุณภาพของผู้นำจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่อย่างกำหนดเป้าหมาย ระบุหน้าที่ วางแผนงานให้กับกลุ่ม อำนวยความสะดวก ให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุนให้กลุ่มบรรลุตามเป้าหมาย

2. มุมมองทางคุณสมบัติส่วนบุคคล (personal) คือ การมองความเป็นผู้นำว่าเป็นแรงจูงใจและความสามารถส่วนบุคคลที่จะเสาะหาการเป็นผู้นำและการปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้นำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำจากมุมมองนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ได้แก่

2.1 ความเป็นผู้นำเชิงเป้าหมาย (transactional leader) หมายถึง ผู้นำที่ใช้วิธีการชักนำสมาชิกไปสู่เป้าหมายด้วยของตอบแทนที่สมาชิกต้องการ เช่น เงินเดือน เงินโบนัส การเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น

2.2 ความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป (transformational leader) หมายถึง ผู้นำที่คอยให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลสมาชิก เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานตามเป้าหมายของสมาชิก รวมไปถึงการใช้วิสัยทัศน์ของตัวเองเป็นแรง บันดาลใจให้ผู้ตามมีความมุ่งมั่นในเป้าหมายและปฏิบัติงานได้เกินความคาดหวังที่มี

เป็นอุปนิสัยที่สามารถทำความเข้าใจผู้ที่กระทำผิดต่อเรา พร้อมที่จะรับฟังเหตุผล พิจารณาสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมาและปล่อยวางให้มันเป็นเรื่องในอดีตไป ซึ่งรวมไปถึงการเข้าใจและให้อภัยตัวเองด้วย มักจะไม่ยึดติดกับผลกระทบและอารมณ์เชิงลบอันเป็นผลมาจากการกระทำของบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นความเกลียดชัง ความโกรธ ความเสียใจ ความต้องการที่จะแก้แค้น หรือความเกลียดที่มีต่อผู้กระทำผิด แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตัวเอง (humanity) โดยจะพยายามแสดงความเห็นใจ (compassion) ต่อความพยายามและความเจ็บปวดของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าตัวเองจะเคยได้รับผลกระทบเชิงลบจากบุคคลนั้นก็ตาม

ซึ่งการให้อภัยที่เกิดขึ้นจะเป็นการกระทำที่มาจากความต้องการภายในของตัวเอง มิใช่การให้อภัยเพื่อให้ได้สิ่งภายนอก เช่น มิได้ยอมให้อภัยเพื่อให้ได้รางวัล หรือการดูดีในสายตาของผู้อื่น หากแต่เป็นการกระทำที่มาจากความต้องการภายในที่เชื่อว่าการหยิบยื่นโอกาสในการปรับปรุงตัวเองให้กับคนอื่นเป็นสิ่งที่ควรทำ

การมีจุดแข็งนี้ไม่ใช่การลืมสิ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในอดีต (forgetting) ไม่ได้เป็นการปล่อยปะละเลยให้เกิดการกระทำผิดซ้ำ ด้วยการบอกตัวเองว่าสิ่งที่ผู้อื่นทำนั้นไม่ผิด หรือไม่จำเป็นต้องได้รับโทษ (condoning) รวมไปถึงการให้อภัยนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องนำมาสู่การคืนดีกับผู้กระทำผิด (reconciliation) แต่การให้อภัยคือการยอมรับข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์แบบของผู้อื่น เปรียบเสมือนการตอบสนองทางจิตใจ (psychological response) ที่จะช่วยสมานแผลใจและอยู่เหนือความเจ็บปวดที่กำลังรู้สึก ส่วนการแสดงออกคือปล่อยให้อดีตผ่านไปแทนการอาฆาตพยาบาท

เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนถึงการประเมินศักยภาพของตัวเองได้ตรงตามความเป็นจริง และการมีความเชื่อภายในว่าตัวเองไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล หรือไม่ได้มีความพิเศษหรือสำคัญมากไปกว่าคนอื่น ซึ่งจะสะท้อนออกมาให้เห็นได้จากภายนอก ทั้งพฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่จะไม่แสวงหาการเป็นจุดสนใจ ความโดดเด่น หรือชื่อเสียง ผู้ที่มีอุปนิสัยนี้มักเป็นคนที่ไม่พูดโอ้อวด แต่จะปล่อยให้ผลงานเป็นตัวบ่งบอกศักยภาพของตัวเอง เคารพและให้คุณค่ากับความไม่สมบูรณ์แบบทั้งของตัวเองและคนอื่น รวมทั้งไม่หลง ระเริงไปกับคำชมและไม่ท้อแท้กับคำดูถูก

ความถ่อมตน ไม่ใช่การลดทอนคุณค่าของตัวเอง (self-deprecation) ไม่ใช่การนับถือตัวเองต่ำ (low self-esteem) หรือการละทิ้งที่จะใส่ใจตัวเอง (lack of self-focus) แต่ความถ่อมตนที่แท้จริงเป็นการประเมินตัวเองที่ตรงตามความเป็นจริง ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นทั้งสิ่งที่ตัวเองทำได้และไม่ได้ เห็นคุณค่าของผู้อื่นและตัวเองเท่า ๆ กัน ผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนจึงมักจะหันเหความสนใจจากตัวเองไปที่บุคคลอื่นด้วย เพื่อเป็นการทำให้บุคคลตระหนักถึงคุณค่าและรับรู้ว่าตัวเองมีความสำคัญไม่แพ้คนอื่น

เป็นอุปนิสัยที่ให้ความสำคัญกับการคิดก่อนลงมือทำ เป็นการวางแผน ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย (goal-directed planning) มีทักษะในการมองหาและสร้างทางเลือกที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจทำ หรือไม่ทำสิ่งต่าง ๆ โดยมักคำนึงถึงผลของการกระทำอย่างรอบคอบ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว อีกทั้งเปิดใจรับทางเลือกอื่นที่จะสามารถทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายได้ รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นผลเสียต่อตัวเองในอนาคต ดังนั้น บุคคลเหล่านี้จะไม่ยอมแลกเป้าหมายระยะยาวของตัวเองไปกับความพึงพอใจระยะสั้นเป็นอันขาด

นอกจากนี้ ความรอบคอบยังเป็นตัวบ่งชี้ความสามารถในการบริหารเป้าหมายของตัวเองอีกด้วย โดยผู้ที่มีความรอบคอบจะมีการวางแผนที่ยืดหยุ่น (flexibility) จึงทำให้พวกเขาสามารถที่จะประสานเป้าหมายในชีวิตให้มีความสอดคล้องกัน และสามารถดำเนินไปด้วยกันได้อย่างไม่ขัดแย้ง นำมาซึ่งการเลือกเส้นทางชีวิตที่ตอบสนองความต้องการของตัวเองอย่างมีสมดุล

ความรอบคอบ ไม่ใช่การหวาดระแวงหรือกังวลกับการใช้ชีวิตจนเกินเหตุ แต่เป็นการบริหารจัดการตัวเองอย่างยืดหยุ่น (flexible) และอยู่ในระดับที่เหมาะสม (moderate) ตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมาย ความ รอบคอบจะไม่ใช่การจดจ่ออยู่กับเป้าหมายและความต้องการของตัวเองเท่านั้น แต่เป้าหมายของผู้ที่มีความรอบคอบจะผ่านการคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่มีอยู่และความต้องการของผู้อื่นร่วมด้วย นอกจากนี้การที่จะเป็นผู้ที่มีความรอบคอบได้จะต้องมีความระมัดระวังในทุกแง่มุมของชีวิต ไม่ใช่การใส่ใจเพียงมุมเดียว เช่น ระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย การทำงาน หรือการทำเป้าหมายให้สำเร็จ เป็นต้น

ความรอบคอบ มีลักษณะคล้ายกับอุปนิสัยการกำกับตัวเอง (self-regulation) รวมกับอุปนิสัยการตัดสินใจ (judgment) คือมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณว่าควรหรือไม่ควรทำสิ่งใดและมีการกำกับตัวเองตามวิจารณญาณนั้น

เป็นอุปนิสัยที่เป็นแรงจูงใจเชิงบวกที่ผลักดันให้บุคคลควบคุมตัวเองในแง่ต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมตัวเองในทางอารมณ์ ความต้องการ การให้ความสนใจ (attention) จนไปถึงการแสดงออกทั้งพฤติกรรมหรือสีหน้า ซึ่งบุคคลนั้นจะต้องใช้การตระหนักรู้ตัวเอง (self-awareness) ในการสังเกตสภาวะต่าง ๆ ของตัวเอง และปรับปรุงสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้ชีวิตมีระเบียบ คงอยู่ในเส้นทางที่ตัวเองวางไว้ และเกิดการพัฒนาตัวเองไปตามแผนการได้โดยไม่ออกนอกลู่นอกทาง

มักครอบคลุมตั้งแต่การเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการทำตามเป้าหมาย ตามมาตรฐานของตัวเองและสังคมได้ หรือที่เรียกว่า การควบคุมตัวเอง (self-control) การมีความสามารถในการควบคุมให้ตัวเองทำสิ่งที่ไม่อยากทำได้ เพื่อความคงเส้นคงวาในชีวิต หรือที่เรียกว่า การสร้างวินัยให้ตัวเอง (self-discipline) รวมไปถึงความสามารถที่จะจัดการและควบคุมการแสดงออกต่อความรู้สึกผิดหวังในชีวิตและความไม่มั่นใจของตัวเอง (insecurity) ได้เป็นอย่างดี และยังอยู่ในระดับพอดี มีความสุข และมีความยืดหยุ่นตามสมควรได้

การที่บุคคลจะสามารถกำกับตัวเองได้ บุคคลจะต้องสามารถควบคุม ปรับเปลี่ยน หรือยับยั้งการตอบสนองเบื้องต้นของตัวเอง (initial response) ที่มีต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก โดยการแทนที่ (override) การตอบสนองนั้นด้วยการตอบสนองใหม่ที่เหมาะสมและตรงกับจุดมุ่งหมายของตัวเองมากกว่า ซึ่งเป็นการกระทำที่ต้องใช้พลังงาน ราวกับว่าเป็นทรัพยากรทางร่างกายที่มีขีดจำกัด หากบุคคลกำกับตัวเองเป็นเวลานาน บุคคลอาจหมดแรงและเหนื่อยล้า ดังนั้น การที่บุคคลจะกำกับตัวเองเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จ เช่น การควบคุมอาหาร การคุมเวลานอน หรือการบังคับให้ตัวเองทำงานให้เสร็จในทุกวันได้อย่างคงเส้นคงวาและมีประสิทธิภาพนั้น บุคคลจำต้องหมั่นฝึกฝนการกำกับตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งเปรียบเสมือนการออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

ความเหมือนต่างเมื่อเทียบกับอุปนิสัยในกลุ่มคุณธรรมด้านการยับยั้งชั่งใจ การกำกับตัวเองเป็นจุดแข็งที่ครอบคลุมและมีส่วนส่งเสริมอุปนิสัยเหล่านี้ ซึ่งสิ่งที่แบ่งแยกอุปนิสัยอื่นกับการกำกับตัวเอง คือ การกำกับตัวเองเป็นเพียงการควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงความรู้สึกหรือความต้องการ ณ เวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องละทิ้งความเกลียดชังที่มีต่อบุคคลอื่นเหมือนในอุปนิสัยการให้อภัย (forgiveness and mercy) ไม่ต้องละทิ้งความเย่อหยิ่งของตัวเองเหมือนในอุปนิสัยความถ่อมตน (humility) หรือไม่ต้องคำนึงผลเสียของความพึงพอใจระยะสั้นเหมือนอุปนิสัยความรอบคอบ (prudence)

เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนความสามารถในการสัมผัสและสังเกตเห็นถึงคุณค่าในทุกสรรพสิ่งของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความงดงามของงานศิลป์ ความลึกซึ้งของปรากฏการณ์รอบตัว ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ หรือแม้แต่ความเป็นเลิศในผู้คน มีจุดแข็งในการมองเห็นความพิเศษในสิ่งเล็ก ๆ และจะไม่มองข้ามคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ซึ่งการใคร่ครวญสิ่งต่าง ๆ ด้วยความละเอียดอ่อนนี้จะนำมาซึ่งอารมณ์เชิงบวกและความพึงพอใจในชีวิตของบุคคล

รูปแบบของความงามและความเป็นเลิศที่จะส่งผลให้อุปนิสัยนี้ปรากฏออกมาได้ มี 3 แบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะนำมาซึ่งอารมณ์และความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่แตกต่างกัน

1. ความงามทางวัตถุ (physical beauty) คือ ความงามที่สามารถเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเรา ไม่ว่าจะเป็นความงามของธรรมชาติหรือความไพเราะของบทเพลง ซึ่งความงามในรูปแบบนี้จะทำให้บุคคลเกิดอารมณ์เชิงบวกที่เรียกว่าความอัศจรรย์ใจ (awe & wonder) คือความรู้สึกที่ทั้งดีและน่าค้นหาของธรรมชาติรอบตัว

2. ความดีเลิศ (excellence) คือ การแสดงออกของทักษะหรือพรสวรรค์อันเป็นเลิศของบุคคล เช่น การได้รับชมทักษะการแสดงละครอันยอดเยี่ยม หรือได้พบเห็นการออกแบบอาคารอย่างไร้ที่ติของสถาปนิก ซึ่งความงามในรูปแบบนี้จะนำมาซึ่งความรู้สึกชื่นชมยินดี (admiration)

3. คุณงามความดี (moral beauty) คือ การได้รับรู้ถึงคุณสมบัติที่ดีในตัวผู้คน เช่น การแสดงออกถึงการมีจิตใจที่ดี ความเห็นอกเห็นใจ หรือการให้อภัย เป็นต้น ซึ่งประสบการณ์ที่ได้จากความงามรูปแบบนี้จะก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและยกระดับให้พวกเขามีแรงขับที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น (elevation)

เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนออกมาผ่านความรู้สึกขอบคุณ ขอบคุณในสิ่งดี ๆ ที่ตัวเองได้รับ ราวกับว่ากำลังได้รับของขวัญ ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณมาจากการที่บุคคลรับรู้และซาบซึ้งในคุณประโยชน์ที่ได้รับจากผู้อื่นหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกขอบคุณจากสิ่งที่ผู้อื่นทำให้ ความสำเร็จที่ตัวเองได้รับ หรือการได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่อบอุ่น

ความรู้สึกขอบคุณจากสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งความสุข โดยอารมณ์สุขเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้บุคคลเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองให้ไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณจึงช่วยทำให้เกิดความใจดี (kindness) และความรัก (love) ซึ่งเป็นอุปนิสัยเชิงบวกที่เกี่ยวข้องกับความเห็นอกเห็นใจ (empathy) และการมีความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง

ทั้งนี้ อุปนิสัยความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง ได้แก่

1. ความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ (sense of appreciation)

2. การมีเจตนาดีให้แก่บุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ (sense of good will)

3. แรงจูงใจที่จะตอบแทนบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ อันสอดคล้องกับความรู้สึกซาบซึ้งและเจตนาดีที่ได้รับ (disposition to act)

นอกจากนี้ ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณยังเป็นอุปนิสัยที่ผลักดันให้บุคคลถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณของตัวเองออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้อยู่บ่อยครั้ง ผ่านการตอบแทนด้วยการกระทำต่าง ๆ อย่างการแสดงความเอาใจใส่ ให้ของขวัญตอบแทน หรือการพูดว่า “ขอบคุณ” อีกทั้งยังทำให้บุคคลสัมผัสถึงคุณค่าของตัวเองและความเชื่อมโยงระหว่างตัวเองกับคนอื่น รวมถึงธรรมชาติแวดล้อมต่าง ๆ อุปนิสัยนี้จึงเป็นคุณค่าที่จะเปิดประตูให้บุคคลใช้อุปนิสัยเชิงบวกอื่น ๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความใจดี (kindness) ความอยากรู้อยากเห็น (curiosity) ความหวัง (hope) ความศรัทธา (spirituality) และความกระตือรือร้น (zest)

เป็นอุปนิสัยที่มีมุมมองความเป็นไปได้ของอนาคตในเชิงบวก แม้ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่แค่ไหน ซึ่งเป็นการมีมุมมองต่อสถานการณ์เชิงบวกในแง่ดีที่มีรากฐานอยู่ในความเป็นจริง (realistic optimism) เกิดเป็นความเชื่อว่าผลลัพธ์ที่ตัวเองพึงปรารถนาจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ทำให้พวกเขามั่นใจในศักยภาพของตัวเอง ไม่ย่อท้อต่อความผิดพลาดในอดีต และลงมือทำเพื่อให้ตัวเองบรรลุผลตามที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถจุดประกายความหวังในตัวคนรอบข้างให้เดินไปสู่สิ่งที่พวกเขาต้องการได้อีกด้วย

การมีความหวังไม่ได้เป็นการนำมุมมองเชิงบวกที่ไม่มีรากฐานอยู่ในความเป็นจริง (unrealistic optimism) มาเป็นข้ออ้างให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ แล้วไม่ทำอะไร แต่ในทางกลับกัน การมีความหวังเป็นการมอง สถานการณ์ตามจริง เพียงแต่จะเห็นความเป็นไปได้เชิงบวกมากกว่าเชิงลบ และมุมมองดังกล่าวจะผลักดันให้บุคคลมีพลังในการลงมือกระทำ (action-oriented) เพื่อนำพาตัวเองไปสู่เป้าหมายได้อย่างมุ่งมั่น

นอกจากนี้ การมีความหวัง หรือการมองโลกในแง่ดี เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์เชิงบวกมากมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการมีสุขภาวะทางจิตและทางกายที่ดี (well-being) ความสำเร็จในชีวิต หรือการมีความสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่ดี ด้วยเหตุนี้ ทำให้อุปนิสัยของการมีความหวัง (hope) มีความเกี่ยวข้องกับสุขภาวะของบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปนิสัยการมีความหวังเชื่อมโยงกับอุปนิสัยความกระตือรือร้น (zest) เพราะทั้งคู่เป็นอุปนิสัยที่สื่อถึงความรู้สึกเชิงบวกต่อสถานการณ์ สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่แตกต่างกันอยู่ที่การนำเจตคติเชิงบวกมาใช้ ความกระตือรือร้นจะมุ่งเน้นที่การนำเจตคติเชิงบวกมาใช้ ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน แต่การมีความหวังจะมุ่งเน้นในการปรับใช้กับอนาคต นอกจากนี้การมีความหวังยังเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ (gratitude) และการมีความรัก (love) อีกด้วย จึงทำให้ผู้ที่มีความหวังส่งผลต่อคนรอบข้างในเชิงบวกและเป็นที่รักของทุกคน

เป็นอุปนิสัยที่สามารถมองเห็นด้านบวกของสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าสถานการณ์ นั้นจะดี แย่ หรือน่าเบื่อหน่ายแค่ไหน โดยจะถ่ายทอดความร่าเริง (cheerfulness) สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับผู้อื่นได้ ผ่านการเหย้าแหย่ เล่นมุก หรือเล่าเรื่องตลกขบขันได้อย่างถูกจังหวะและเวลา อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอารมณ์เชิงบวกให้แก่ตัวเองและผู้อื่น นำไปสู่การสานสัมพันธ์และความปรองดองกันภายในกลุ่ม เลยเป็นจุดแข็งที่ทุกคนพึงปรารถนา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นจุดแข็งที่จำเป็นต่อการมีความสัมพันธ์อันดีก็ตาม อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับความเครียดและอุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตและเป็นตัวช่วยในการปรับปรุงสุขภาวะทางจิตของบุคคลให้ดีขึ้นได้อีกด้วย

นอกจากนี้ อารมณ์ขันยังสามารถเป็นอุปนิสัยที่ไปส่งเสริมจุดแข็งอื่น (value-added strength) ได้ด้วย ซึ่งจะถูกแสดงออกมาเป็นการกระทำที่สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น เช่น เมื่อการมีอารมณ์ขันทำงานร่วมกับความเป็นผู้นำ (leadership) จะทำให้บุคคลนั้นเป็นผู้นำที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้สมาชิกภายใต้สถานการณ์อันตึงเครียดได้และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกทีมด้วย การสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สร้างความสนุกสนานในการทำงาน และมีทักษะในการให้คำวิจารณ์ที่สอดแทรกไปด้วยอารมณ์ขัน ส่งผลให้ลูกทีมสามารถรับคำวิจารณ์ได้ดีขึ้น เป็นต้น

การแสดงอารมณ์ขันที่ตรงตามอุปนิสัยเชิงบวกจะไม่ใช่การแสดงความหยาบคาย อย่างการเยาะเย้ย (mockery) หรือการ พูดจาเสียดสี (sarcasm) และไม่ใช่การล้อเลียน (parody) หรือการแกล้งคน (practical joke) ที่จะมีความก้ำกึ่งระหว่างการสร้างความขบขันและการทำให้สร้างความขุ่นเคือง

นอกจากนี้ การมีอารมณ์ขันเป็นการสร้างเสียงหัวเราะที่สะท้อนถึงความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อผู้อื่น (sympathy) ซึ่งแตกต่างจากการล้อเลียน (ridicule) ที่อยากจะกดผู้อื่นให้ตำ่ การมีไหวพริบในการโต้ตอบ (wit) ที่อยากแสดงความเหนือกว่าผู้อื่น หรือการแสดงความครื้นเครง (fun) ที่เพียงเพื่ออยากจะแสดงความมีชีวิตชีวาของตัวบุคคล ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะสร้างเสียงหัวเราะให้แก่คนรอบข้างได้ในบางสถานการณ์ แต่ไม่ได้สะท้อนถึงเจตนาที่จะสร้างความสุขให้ผู้อื่นอย่างแท้จริง

เป็นอุปนิสัยที่เชื่อมโยงการมีอยู่ของตัวเองกับสิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์ ทั้งในด้านความคิดและด้านอารมณ์ เปรียบเสมือนการที่บุคคลมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (sacred) อย่างสิ่งที่บุคคลให้การเคารพ ชื่นชม หรือบูชา โดยอาจจะเกี่ยวข้องกับพระผู้เป็นเจ้า (divine) หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในรูปของความหมายในชีวิต (sense of meaning) จุดมุ่งหมายของการมีอยู่ของสรรพสิ่ง (purpose) ความจริงของจักรวาล หรือคุณงามความดีของมนุษย์

ความศรัทธาจะผลักดันให้บุคคลดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า (moral value) เพื่อรับใช้เป้าหมายหรือคุณค่าที่ยึดถือ เช่น การที่บุคคลยึดถือว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ความศรัทธานี้จะทำให้การทำดีของเขาเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ ความศรัทธายังช่วยผลักดันให้บุคคลเปิดใจที่จะยอมรับสิ่งใหม่ (open- minded) และช่วยในการสานสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างได้อีกด้วย

ความศรัทธานั้นสอดแทรกไปในทุกแง่มุมของชีวิต โดยจะชี้นำความคิด พฤติกรรม การมองโลก ความสัมพันธ์ รวมถึงการตั้งเป้าหมายและตัวตนให้มีความสอดคล้องกับสิ่งที่ยึดถือ คล้ายคลึงกับความเลื่อมใส ในศาสนา (religiousness) จึงไม่แปลกที่ความศรัทธาและความเลื่อมใสมักเป็นคำที่ถูกใช้ในความหมายเดียวกัน อย่างไรก็ดี สิ่งที่แบ่งแยกสองสิ่งนี้ออกจากกัน คือ ความเลื่อมใสมีความหมายเจาะจงไปที่ความเชื่อและพิธีกรรมที่ถูกกำหนดมาแล้ว ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับการบูชาพระผู้เป็นเจ้า (divine figure) แต่ความศรัทธาจะมีความหมายที่กว้างกว่า คือการมีชุดของความเชื่อและอารมณ์ต่าง ๆ ที่ให้ความหมายแก่การมีอยู่ของบุคคล (one’s place in the world)

Head

  • มีความคิดที่อยากจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา
  • คิดนอกกรอบ มีแนวความคิดที่แตกต่างไม่เหมือนใคร
  • มีความคิดที่ยืดหยุ่น (cognitive flexibility)
  • อาจมีความคิดที่เป็นอิสระจากบรรทัดฐานของสังคม (norm)

Heart

  • ชอบสิ่งแปลกใหม่ ตื่นเต้นเมื่อได้เจอสิ่งใหม่ ๆ
  • เมื่อได้ทำสิ่งที่แปลกใหม่จะรู้สึกดีใจที่ได้ทำ
  • รู้สึกสบายใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ปรับตัวให้เข้ากับความท้าทายและความเครียดได้ง่าย
  • รู้สึกว่าตนเองมีความสามารถเมื่อได้สร้างความคิดใหม่ ๆ ออกมา
  • มีความเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในความสามารถของตน

Hand

  • ชอบสร้างสรรค์งานให้มีความแปลกใหม่ แตกต่าง และเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น หรือเป็นประโยชน์ต่อโลก
  • มีการแสดงออกถึงความคิดหรือพฤติกรรมที่ต่างจากผู้อื่น
  • สร้างสรรค์แนวทางแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์
  • มักจะเข้าหาสภาพแวดล้อมที่ไม่จำกัดกรอบความคิด
  • เข้าร่วมกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์

Head

  • ในด้านความสัมพันธ์ คนที่มีความอยากรู้อยากเห็นมักไถ่ถามเรื่องต่าง ๆ กับคนใกล้ตัว หรือ อาจชอบเข้าหาคนใหม่ ๆ ที่ไม่รู้จัก
  • ในการเรียน คนที่มีความอยากรู้อยากเห็นมักมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่ครูสอนเสมอ
  • ในการทำงาน พวกเขาอาจทดลองวิธีการทำงานแบบใหม่ ๆ แทนการทำงานตามกิจวัตรเดิม ๆ
  • ในกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การลองทานอาหารใหม่ ๆ การเดินทางไปเที่ยวที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน การเข้าร่วมกิจกรรมตามโซเชียลมีเดีย เป็นต้น
  • ชอบตั้งโจทย์ หาคำตอบกับเรื่องราว และสิ่งที่เกิดรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
  • มีความสงสัยใคร่รู้

Heart

  • ตื่นเต้นเมื่อได้รับข้อมูลใหม่ ๆ สนุก
  • กระตือรือร้นกับการค้นหาข้อมูล
  • ตื่นเต้นเมื่อได้ทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ ได้เข้าหาประสบการณ์ใหม่ ๆ
  • รู้สึกสงสัยสนใจในสิ่งต่าง ๆ พยายามลดความรู้สึกสงสัยนั้นโดยการหาคำตอบ
  • อาจรู้สึกเบื่อกับกิจกรรมที่จำเจ

Hand

  • ช่างสังเกต
  • ชอบที่จะเรียนรู้ผ่านการตั้งคำถามเพื่อหาข้อมูลใหม่ ๆ ตลอดเวลา
  • ถ้าเป็นเรื่องที่ชอบหรือเรื่องที่อยากรู้ก็จะหาข้อมูลในเชิงลึกได้ดี
  • ให้ความสนใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว
  • ชอบเข้าหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ทำกิจกรรมใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน
  • ถามคำถามกับคนรอบตัวบ่อย ๆ แสดงความสนใจในเรื่องของคนอื่น

Head

  • คิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วน คิดอย่างมีเหตุผล
  • ใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ไม่พยายามที่จะตัดสินใจอะไรโดยไม่มีข้อมูล
  • ไม่ปักใจเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ อย่างครบถ้วน
  • ไม่เชื่อว่าความจริง ๆ หนึ่งเป็นสิ่งแน่แท้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พร้อมที่จะเปิดใจรับข้อมูลใหม่ ๆ เสมอ

Heart

  • มีความรู้สึกที่มั่นคง แน่วแน่ในการตัดสินใจของตนเอง
  • ไม่ปล่อยให้อารมณ์หรืออคติส่งผลต่อการตัดสินใจหรือการถกเถียงกับผู้อื่น
  • ไม่แสดงความเห็นตามคนอื่นตลอดเวลา มีความคิดวิจารณญาณเป็นของตนเอง

Hand

  • ชอบที่จะหาข้อมูลที่หลากหลายก่อนตัดสินใจ
  • เมื่อตัดสินใจแล้วก็พร้อมยอมรับผลของการตัดสินใจ
  • ไม่แสดงความเห็นหรือทำตามคนอื่นตลอดเวลา มีความคิดวิจารณญาณเป็นของตนเอง เลือกการกระทำของตนเองได้

Head

  • อยากเรียนรู้ ฝึกฝน หรือพัฒนาตนเองตลอดเวลา
  • มองว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งท้าทายและเป็นประโยชน์
  • ประเมินความสามารถของตนไปในทางบวกมากขึ้น รับรู้ถึงพัฒนาการของตนเองเมื่อได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
  • ให้คุณค่ากับสิ่งที่ได้เรียนรู้หรือพัฒนาการของตน มากกว่าผลลัพธ์ที่เป็นตัวเลข เช่น ผลการเรียน หรือ เกรดเฉลี่ย
  • ให้คุณค่ากับสิ่งที่เรียนรู้ เช่น ผู้ที่ชอบวิทยาศาสตร์อาจให้คุณค่ากับวิทยาศาสตร์ ประโยชน์ที่ วิทยาศาสตร์มีต่อสังคม ผู้ที่สนใจการเมืองอาจมองเห็นความสำคัญของการเมืองที่มีต่อชีวิตประจำวัน

Heart

  • ตื่นเต้นเมื่อได้ศึกษา เรียนรู้ในเรื่องใหม่ ๆ
  • มีความรู้สึกในเชิงบวกต่อเมื่อได้รับทักษะหรือความรู้ใหม่
  • รู้สึกมั่นใจในความสามารถของตนเองมากขึ้น เกิดการเรียนรู้

Hand

  • พยายามค้นคว้าหาความรู้ รู้อะไรแล้วต้องรู้ให้ลึกและรู้จริง
  • เรียนรู้ฝึกฝนเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ใหม่ ๆ ด้วยตนเอง

Head

  • มีมุมมองที่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ในโลกได้ในหลาย ๆ แง่มุม
  • สามารถประมวลประสบการณ์และความรู้ของตนเอง และของคนอื่นมาใช้ให้เป็นประโยชน์
  • สามารถบูรณาการมุมมองที่หลากหลายและมองโลกรอบตัวอย่างเป็นองค์รวมได้

Heart

  • เข้าใจและเปิดกว้างในการรับรู้ความรู้สึก ความคิด และความต้องการทั้งของตัวเอง และของคนอื่น
  • รับรู้และยอมรับโลกอย่างที่เป็น แต่เข้าใจว่าโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

Hand

  • สามารถช่วยเปิดการรับรู้ เพิ่มทางเลือก และเป็นที่ปรึกษาในการจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ทั้งของตนเอง และคนอื่นได้ดี
  • สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเข้าใจปัญหาอย่างเป็นองค์รวม

Head

  • กล้าที่จะคิดและยืนหยัดในความคิด เพราะมั่นใจในสิ่งที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแม้ในเรื่องที่มีคนไม่เห็น ด้วย
  • มีความคิดที่ยึดมั่นว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด
  • กล้าที่จะยอมรับจุดอ่อนหรือปัญหาที่ตนเองมี และมีความตั้งใจที่จะเผชิญกับปัญหาเหล่านั้น

Heart

  • รู้สึกมั่นใจในความคิดและการกระทำของตนเอง
  • สามารถยืนหยัดเอาชนะความกลัวภายในจิตใจของตนเองได้

Hand

  • ไม่ท้อถอยเมื่อเจออุปสรรค ปัญหา หรือความเจ็บปวด
  • กล้าเผชิญหน้ากับความจริงและความถูกต้อง
  • มีพฤติกรรมเข้าหา (approach) สิ่งต่าง ๆ มากกว่าที่จะหลีกหนี (avoid) ความท้าทายต่าง ๆ
  • กล้าที่จะพูดสิ่งที่ตนคิด สิ่งที่ตนเชื่อ กล้าปฏิเสธผู้อื่น กล้าริเริ่มสิ่งต่าง ๆ

Head

  • มีความคิดและเป้าหมายที่ชัดเจน
  • มองเห็นความยากลำบากเป็นขั้นตอนสู่ความสำเร็จ

Heart

  • มีความมั่นคงแน่วแน่ทางจิตใจที่จะนำตัวเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้

Hand

  • สามารถเพิ่มความอดทน และความเพลิดเพลินในการนำพาให้ตัวเองทำงานให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเจอแรง เสียดทานหนักหรือความน่าเบื่อมากแค่ไหนก็ตาม
  • มีการวางแผนเพื่อไปสู่เป้าหมาย และมีการทำตามแผนนั้น ๆ อย่างมุ่งมั่น

Head

  • มีความคิดที่ซื่อตรงต่อความจริง
  • เคารพในความแตกต่างของผู้อื่น
  • เข้าใจและยึดมั่นในตัวตนของตนเอง ยึดมั่นในความคิดของตนเอง

Heart

  • เคารพความรู้สึกของตัวเองและเคารพในความแตกต่างของคนอื่น
  • รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกและการกระทำของตนเอง

Hand

  • แสดงออกด้วยความจริงใจ ไม่เสแสร้ง พูดความจริง และสามารถสื่อสารได้อย่างตรงไปตรงมา
  • ทำตามสัญญาที่ตนเองเคยให้ไว้ ยึดมั่นในคำพูดของตนเอง การกระทำสอดคล้องกับความคิดและ คำพูดของตนเอง

Head

  • มีความคิดอยู่เสมอว่าชีวิตคือการผจญภัย ทุกประสบการณ์ที่เจอเป็นเรื่องแปลกใหม่ น่าค้นหา
  • รับรู้ว่าตนเองสามารถริเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ ได้ รับรู้ว่าตนเองเป็นผู้ที่ควบคุมตนเอง และตนเองสามารถ เปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้

Heart

  • รู้สึกตื่นเต้น มีชีวิตชีวา และเพลิดเพลินเมื่อได้ใช้ชีวิตในทุก ๆ วัน
  • มีอารมณ์เชิงลบต่าง ๆ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวลน้อย

Hand

  • ใช้ชีวิตด้วยพลังงานดี ๆ และความเพลิดเพลิน
  • ทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ
  • สามารถเติมเต็มความรู้สึกมีชีวิตชีวาให้กับตัวเองและคนรอบตัวได้เป็นอย่างดี

Head

  • มีความคิดว่าการมีความสัมพันธ์ที่ดีคือคุณค่าที่สำคัญ
  • มองเห็นถึงคุณค่าในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดทั้งกับเพื่อน ครอบครัว และคนรัก
  • มีมุมมองที่ดีต่อตนเอง เชื่อว่าตนเองคู่ควรกับความรักจากผู้อื่น

Heart

  • มีความรู้สึกดีที่ได้ดูแล ห่วงใย ใส่ใจผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ใกล้ชิด
  • มีความรู้สึกทางบวกต่อตนเอง รักตนเอง

Hand

  • มีทักษะในการแสดงออกซึ่งความรัก
  • สามารถแบ่งปันความรู้สึกที่ดีกับคนที่มีความหมายและคุณค่ากับตนเองได้
  • สามารถสร้างความสัมพันธ์และความผูกพันที่ดีในชีวิต
  • ดูแลใส่ใจความเป็นอยู่ของตนเอง

Head

  • มีความคิดว่าการทำดีกับผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคม
  • เห็นคุณค่าในตัวผู้อื่นและพร้อมที่จะหยิบยื่นสิ่งดี ๆ ให้เสมอ
  • อาจมีความเชื่อว่าการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไม่หวังผลตอบแทนเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่พึงมี มีความ เชื่อเกี่ยวกับจริยธรรม ความถูกผิดของการกระทำต่าง ๆ

Heart

  • รู้สึกดีใจ พึงพอใจที่ได้ช่วยเหลือหรือดูแลผู้อื่น
  • เกิดความรู้สึกในเชิงบวกในการเป็นผู้ให้
  • มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สามารถรู้สึกถึงความทุกข์ยากของผู้อื่น และมีความต้องการอยากช่วยเหลือ พวกเขา
  • มีความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจตนเอง ยอมรับในตนเอง

Hand

  • ชอบที่จะทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น
  • ยินดีที่จะช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อเห็นผู้อื่นเดือดร้อน
  • แบ่งปันสิ่งของหรือทรัพยากรที่ตนมี ไม่ขี้เหนียว
  • แสดงออกถึงความใจดีผ่านคำพูดและการกระทำ พูดกับผู้อื่นด้วยความอ่อนโยน
  • ดูแลห่วงใยตนเอง ไม่ใจร้ายกับตัวเอง

Head

  • ตระหนักรู้ถึงแรงจูงใจและความรู้สึกของผู้อื่น
  • มีความคิดว่าคนแต่ละคนนั้นมีเอกลักษณ์และความแตกต่างเป็นของตัวเอง
  • มีความคิดยืดหยุ่นทำให้สามารถปรับตัวเข้าหาผู้อื่นได้ง่าย
  • มีความเข้าใจตนเอง เข้าใจนิสัย ความสนใจ แรงจูงใจของตนเองในการทำสิ่งต่าง ๆ
  • เข้าใจความสามารถและข้อจำกัดของตนเอง
  • เข้าใจธรรมชาติของสังคมรอบตัว เข้าใจบริบทของสังคม และธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ

Heart

  • เกิดความรู้สึกภูมิใจที่สามารถปรับตัวให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ได้
  • มีการยอมรับในตนเอง พอใจในสิ่งที่เป็น มีอารมณ์เชิงบวกเกี่ยวกับตนเอง
  • รู้สึกสบายใจในการอยู่ในกลุ่มเพื่อน กลุ่มสงคม รู้สึกสบายใจเมื่อต้องเข้าสังคม มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

Hand

  • สามารถวางตัวในแต่ละสถานการณ์เป็นอย่างดี
  • รู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ
  • สามารถโน้มน้าวจิตใจคนอื่นได้ สามารถเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการได้

Head

  • ให้ความสำคัญกับประโยชน์ส่วนรวมของสังคม
  • มีความคิดว่าความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญ

Heart

  • รู้สึกภูมิใจ ดีใจเมื่องานของทีมประสบความสำเร็จ หรือรู้สึกดีใจที่ได้ร่วมกันทำงานเป็นทีม

Hand

  • สามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างดี มีความรับผิดชอบที่จะทำในส่วนงานของตนเอง
  • สามารถรวมพลังร่วมกับบุคคลอื่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงตามเป้าหมายได้

Head

  • มีความคิดว่าความยุติธรรมสามารถทำให้ทุกคนที่อยู่ในสังคมเกิดความเท่าเทียมกันได้ และเคารพใน ความเสมอภาคและความยุติธรรม
  • ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมทางสังคม (social justice)

Heart

  • เกิดความรู้สึกดีถ้าทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
  • ไม่ใช้ความรู้สึกหรือความชอบส่วนตัวในการตัดสินอะไรเกี่ยวกับคนอื่น

Hand

  • ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม ให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียม
  • ใช้เหตุผลและความเข้าใจในการตัดสินสถานการณ์หรือบุคคลได้อย่างเที่ยงธรรม

Head

  • มีความคิดเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถพาสมาชิกในกลุ่มไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จด้วยกัน
  • มีการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นขั้นตอน

Heart

  • รู้สึกภูมิใจที่สามารถนำพาทีมของตนเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ร่วมกัน

Hand

  • สนับสนุน สร้างกำลังใจให้สมาชิกในกลุ่มทำงานให้สำเร็จ สามารถนำพาให้คนในกลุ่มสามารถเดินทาง สู่เป้าหมายได้
  • สามารถรักษาความสัมพันธ์ของคนในกลุ่มไว้ได้เป็นอย่างดี
  • อาจมีการวางแผน ตั้งเป้าหมาย และแบ่งหน้าที่ให้กับกลุ่ม

Head

  • มีความคิดว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสมบูรณ์แบบ ทุกคนสามารถทำผิดกันได้เสมอ และการให้อภัยนั้นจะ ทำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

Heart

  • รู้สึกสบายใจเมื่อได้ให้อภัยหรือไม่เคียดแค้นผู้อื่น
  • สามารถยับยั้งความโกรธ ความเสียใจ ความอยากแก้แค้นของตนเองได้

Hand

  • ให้อภัยผู้อื่นที่ปฏิบัติต่อคุณไม่ดี ยอมรับในข้อเสีย หรือข้อผิดพลาดของผู้อื่น ให้โอกาสคนอื่น ไม่โกรธ หรือเคียดแค้นผู้อื่น

Head

  • มีความคิดว่าให้ความสำเร็จพูดแทนตัวเอง ไม่โอ้อวด ไม่หลงกับคำชม และไม่ท้อแท้กับคำดูถูก
  • มีมุมมองเกี่ยวกับตนเองที่ถูกต้อง ไม่ประเมินตนเองสูงหรือต่ำเกินไป รู้ข้อดีและข้อเสียของตนเอง

Heart

  • รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาบนโลกใบนี้ และให้คุณค่ากับความไม่สมบูรณ์ทั้งของตนเองและคนอื่น
  • มีความมั่นใจในตนเอง นับถือตนเอง (self-esteem) ยอมรับตนเอง

Hand

  • ไม่เดินเข้าหาการเป็นจุดสนใจ ไม่อยากทำให้ตัวเองเป็นคนโดดเด่น ไม่ค่อยพูด แต่เน้นการสร้างผลลัพธ์ ให้เกิดความสำเร็จ

Head

  • ให้ความสำคัญกับการคิดก่อนลงมือทำ ไม่ยอมแลกเป้าหมายระยะยาวของตนเองไปกับความพึงพอใจ ระยะสั้น
  • สามารถประสานเป้าหมายต่าง ๆ ที่มีความขัดแย้งให้มีความสอดคล้องและเข้ากันได้

Heart

  • มีความรู้สึกมั่นใจในตัวเอง เชื่อมั่นว่าถ้าเรามองเห็น และหาทางป้องกันได้อย่างเหมาะสมที่สุดแล้วจะ เกิดผลที่ดีตามมาแน่นอน

Hand

  • มีทักษะในการมองหาและสร้างทางเลือกที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจทำหรือไม่ทำสิ่งต่าง ๆ
  • ไม่พูดหรือทำสิ่งที่จะทำให้ตนเองต้องเสียใจในภายหลัง
  • กล้าที่จะเลือกหรือตัดสินใจ

Head

  • มีความคิดว่าการมีวินัยจะทำให้ทุกอย่างสำเร็จตามแผนที่ตั้งไว้ได้
  • เชื่อมั่นในความสามารถที่จะกำกับให้ตนเองไม่ออกนอกลู่นอกทางและนำพาตนเองไปสู่จุดมุ่งหมายได้ สำเร็จ

Heart

  • มีแรงจูงใจภายในเชิงบวกต่อการจัดการและกำกับให้ตนเองทำสิ่งต่าง ๆ ตามที่วางแผนไว้
  • รู้สึกภูมิใจถ้าได้ทำตามแผนที่ตนเองได้วางไว้

Hand

  • สามารถกำกับความรู้สึกและการกระทำ มีวินัย สามารถควบคุมอารมณ์และความอยากของตนเองได้ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

Head

  • มีความคิดว่าทุก ๆ อย่างที่อยู่รอบตัวมีแต่สิ่งที่สวยงาม น่าชื่นชม ทุกอย่างคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา และมีความสวยงามในตัวเองเสมอ

Heart

  • รู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจเมื่อได้ใช้เวลาชื่นชมสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
  • รู้สึกซาบซึ้งในคุณค่าของความสวยงามและความดีเลิศที่ได้พบเจอ
  • มีแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาตนเองจากการได้พบเห็นสิ่งที่ดีเลิศ

Hand

  • สามารถสัมผัสและชื่นชมในความมหัศจรรย์ หรือความยิ่งใหญ่ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้
  • มีความละเอียดอ่อนในการถ่ายทอดประสบการณ์ทางอารมณ์ได้อย่างมีชีวิตชีวา

Head

  • คิดว่าสิ่งดี ๆ นั้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ เพียงแค่เราใช้ใจในการมอง ก็จะเห็นคุณค่าในสิ่งนั้น
  • มีเจตนาที่ดีต่อบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ ที่มีคุณค่า

Heart

  • มีความรู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองหรือสิ่งที่ตนเองได้รับ และตระหนักถึงสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นเสมอ
  • รู้สึกดีที่ได้ตอบแทนหรือแสดงความขอบคุณแก่บุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ ที่มีคุณค่าสำหรับเรา
  • มีแรงจูงใจที่จะตอบแทนสิ่งดี ๆ นั้นกลับสู่ผู้อื่นหรือกลับสู่สังคม

Hand

  • ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกถึงคุณค่าของตนเองและความเชื่อมโยงระหว่างตนเองกับคนอื่น รวมถึงธรรมชาติ แวดล้อมต่าง ๆ
  • แสดงความรู้สึกขอบคุณด้วยวิธีต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมาอย่างบ่อยครั้ง

Head

  • มีความเชื่อว่าทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ และมีหนทางเสมอ
  • มองเห็นถึงอนาคตที่มีความเป็นไปได้ในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ
  • มีมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในแง่ดี โดยมีความเป็นจริงเป็นรากฐานของความเชื่อนั้น (realistic optimism)

Heart

  • รู้สึกเชื่อมั่น และมีพลังในการนำพาตัวเองรวมถึงผู้คนไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้
  • ไม่รู้สึกท้อต่ออุปสรรคที่ดีพบเจอหรือความผิดพลาดที่ได้ทำไว้ในอดีต

Hand

  • พยายามทำสิ่งที่ตั้งความหวังไว้ให้เป็นจริง

Head

  • มองเห็นแง่มุม หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกเชิงบวกและเพลิดเพลินขึ้นมา
  • ให้ความสำคัญกับการทำให้ผู้อื่นเกิดรอยยิ้ม มีความคิดว่าการสร้างความสุขให้ผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งสำคัญ

Heart

  • รู้สึกมีความสุขเมื่อได้เห็นผู้อื่นมีความสุข
  • รู้สึกร่าเริงและเพลิดเพลินไปกับมุมมองด้านสว่างของชีวิต
  • มีความเข้าใจผู้อื่น ทำให้สามารถเล่นมุกได้ถูกคน ถูกสถานที่ ถูกเวลา

Hand

  • สามารถเหย้าแหย่ เล่นมุข เล่าเรื่องตลกขบขันได้อย่างถูกจังหวะ ถูกช่วงเวลา

Head

  • มีความคิดเชื่อมั่น และแน่วแน่ว่าจักรวาลมีวัตถุประสงค์ และความหมายที่ยิ่งใหญ่
  • เข้าใจในจุดมุ่งหมายและความหมายของการมีอยู่ของตนเอง
  • เป็นคนที่เปิดใจรับมุมมองและสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต

Heart

  • รู้สึกเชื่อมโยงกับเป้าหมาย หรือคุณค่าบางอย่างที่อยู่เหนือตนเอง

Hand

  • ให้คุณค่ากับการทำให้ชีวิตมีความหมายด้วยการใช้ชีวิตทั้งหมดเพื่อรับใช้เป้าหมายหรือคุณค่าที่ยึดถือ บางอย่าง
  • คนอื่นอาจมองว่าเป็นคนที่ไม่มีจุดหมาย
  • มีโอกาสทำให้คนอื่นรู้สึกรำคาญ หรือเครียดได้
  • มีโอกาสประสบปัญหาในการทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ไม่สำเร็จ เพราะมีความคิดที่มากเกินไป
  • กลายเป็นคนที่แปลกแยกจากสังคม มีพฤติกรรมที่แปลกประหลาด ไม่มีกรอบการดำเนินชีวิต กิจวัตร ประจำวันไม่มีระบบระเบียบ
  • คนรอบข้างไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับความคิด ถูกสังคมมองว่าแปลกประหลาด แปลกแยกจากผู้อื่น
  • มีโอกาสทำให้คนอื่นรู้สึกโกรธ รำคาญหรือไม่พอใจได้ เพราะคิดว่าเราเอาแต่ใจ หรือล่วงล้ำเขามากเกินไป
  • มีโอกาสทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ และต้องการตีตัวออกห่างจากเรา
  • เราอาจจะกลายเป็นคนไม่สุภาพในสายตาผู้อื่น
  • อาจเสียสมาธิจากงานได้ง่าย เพราะสงสัยสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลา ทำให้ต้องหาคำตอบของคำถามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แทนที่จะใช้เวลาทำงานที่ตนรับผิดชอบให้เสร็จลุล่วง
  • เมื่อมั่นใจในข้อมูลที่ตนเองมีมากเกินไปก็มีโอกาสที่จะวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง หรือผู้อื่นรุนแรงกว่าที่ควร จะเป็น จนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์
  • ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเราได้
  • การที่ต้องอาศัยข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจในทุก ๆ ครั้งอาจจะทำให้พลาดโอกาสบางอย่างได้
  • การมีข้อมูลมากเกินไปทำให้เกิดความเครียดจนเกิดปัญหาทางสุขภาพจิตตามมาได้
  • สนใจแต่ตรรกะเหตุผล ไม่คำนึงใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น ขาดความรักความอบอุ่นในบทสนทนา
  • ลังเลใจ เพราะให้ความสำคัญกับมุมมองที่แตกต่างหลากหลายจนตัดสินใจไม่ถูก
  • ไม่กล้าตัดสินใจเพราะคิดว่ายังมีข้อมูลไม่เพียงพอ รู้สึกว่าต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ
  • อาจทำให้เรากลายเป็นคนพูดเยอะ เหมือนว่าเราเป็นคนอวดรู้ มีโอกาสสร้างความรู้สึกไม่พอใจให้กับ ผู้อื่นได้
  • คนอื่นอาจหลีกเลี่ยงการสนทนากับเรา หรือพยายามสนทนากับเราให้น้อยที่สุด
  • ทำให้ผู้อื่นมีภาพจำของเราไปในทางลบ
  • ในการสนทนากับผู้อื่น อาจแสดงความรู้ ความสนใจส่วนตัวมากเกินจนผู้อื่นรับไม่ไหว ทำลาย บรรยากาศในการสนทนา
  • อาจทำตัวเหมือนตนเองเหนือกว่าผู้อื่น รู้ดีกว่าผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นไม่อยากเข้าหา
  • อาจทำให้เกิดความเอาแต่ใจ เพราะคิดว่าตัวเองสามารถสร้างทางเลือกได้ดีกว่าคนอื่น
  • ในกรณีการมีมุมมองที่หลากหลายมากเกินไปอาจทำให้เกิดการลงมือทำที่ต่อเนื่องได้ยาก
  • การให้คำแนะนำกับคนอื่นโดยที่เขาไม่ได้ถาม การสอนสั่งผู้อื่นโดยที่เขาไม่ได้ต้องการ
  • พูดจาเหมือนนักพูดให้แรงบันดาลใจโดยไม่จำเป็น หรือพูดจาเหมือนเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริง รู้ดีกว่าคนอื่น
  • พูดเรื่องเล็ก ๆ ให้กลายเป็นประเด็นใหญ่ โยงเรื่องที่เป็นรูปธรรมให้กลายเป็นประเด็นนามธรรม พูดถึง เรื่องต่าง ๆ ไปในเชิงปรัชญาโดยไม่จำเป็น
  • ผู้อื่นรำคาญ มองว่าเราอวดรู้
  • มีโอกาสทำให้ชีวิตตกอยู่ในสถานการณ์คับขันบ่อยโดยไม่จำเป็น
  • ความกล้าที่มากเกินไปอาจทำให้เราเกิดความมั่นใจที่สูงจนทำให้เราไม่สามารถใช้วิจารณญาณในการ คิดให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำสิ่งต่าง ๆ
  • อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ได้
  • เป็นคนดื้อดึง ไม่ยอมคน แสดงความเห็นของตนเองมากจนไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น
  • เมื่อเราเข้าหาความเสี่ยงมากเกิน ผู้อื่นจะตีตัวออกห่างเพื่อความปลอดภัยของเขาเอง
  • อาจยืนหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตนเองมากเกินไปจนผลักผู้อื่นออกจากแนวร่วม ทำให้ผู้อื่นปฏิเสธ แนวคิดที่เราพยายามสนับสนุน
  • อาจทำให้กลายเป็นคนดื้อรั้น ปิดรับข้อมูลหรือความคิดเห็นที่มีต่อเป้าหมายที่กำลังเดินทางไป
  • การอดทนที่มากเกินไปในบางครั้งส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของตัวเอง
  • อาจทำให้เกิดการตัดสินคนอื่นได้ง่าย จนอาจส่งผลกระทบทางลบต่อความสัมพันธ์
  • ตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินตัวและดื้อดึงที่จะไปให้ถึงเป้าหมายโดยไม่คำนึงว่าต้องสูญเสียอะไรบ้าง เช่น ทำงานหนักจนไม่ดูแลสุขภาพตนเอง
  • พยายามดื้อดึงไปให้ถึงเป้าหมาย ทั้งที่เป้าหมายนี้ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เช่น พยายามรักษา ความสัมพันธ์ทั้งที่ไม่มีเยื่อใยรักหลงเหลือแล้ว
  • ในบางครั้งการสื่อสารความจริงก็สามารถทำร้ายผู้อื่นได้ โดนเฉพาะเมื่อความจริงที่ถูกสื่อสารเกิดขึ้น โดยไม่คำนึงถึงเวลาและสถานที่
  • การซื่อตรงต่อความจริงที่ตัวเองยึดถือมากเกินไป อาจทำให้เกิดการตัดสินผู้อื่นเร็วเกินไป โดยไม่เปิด โอกาสให้เกิดการรับฟัง หรือแลกเปลี่ยนชุดความคิด หรือเหตุผลซึ่งกันและกัน
  • อาจถูกมองว่าเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป ยึดมั่นในคุณธรรมหรือแนวคิดบางอย่างมากจน มองว่าตนเองนั้นถูกต้องเสมอ
  • คนอื่นอาจจะระแวง สงสัยในตัวเราว่าที่เราพยายามจะทำทุกอย่างด้วยความกระตือรือร้นนั้น อาจจะมี เหตุผลบางอย่างแอบแฝงอยู่
  • อาจจะส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ในเชิงลบได้ เนื่องจากคนอื่นอาจจะรู้สึกรำคาญ และคิดว่าเราต้องการ เรียกร้องความสนใจอยู่
  • การแสดงความกระตือรือร้นผิดที่ผิดเวลา ทำให้ผู้อื่นไม่ชอบใจ รู้สึกว่าความกระตือรือร้นนี้มากเกินไป เช่น แสดงพลังงานในการทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ในขณะที่คนอื่นยังไม่พร้อมทำงาน
  • คนที่มีอุปนิสัยเชิงบวกด้านความรักที่น้อยเกินไปอาจจะรู้สึกอบอุ่น หรือผูกพันกับคนอื่นได้อาจจะ ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ได้
  • มักถูกเอาเปรียบอยู่เสมอ เพราะคนที่มีอุปนิสัยเชิงบวกด้านความใจดีที่มากเกินไปช่วยเหลือผู้อื่นจนลืม คิดว่าเขาต้องการมากน้อยเพียงใด
  • อาจจะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพจิตได้ เนื่องจากช่วยเหลือคนอื่นมากเกินไปจนลืมดูแลจิตใจตัวเองว่า การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นทำให้เรารู้สึกอย่างไร
  • ห่วงใยผู้อื่นมากจนหลงลืมตนเอง ไม่กล้าแสดงออกถึงความต้องการของตนเองกับผู้อื่น
  • อาจแสดงความห่วงใยมากเกินความต้องการของผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นรู้สึกถูกล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว
  • คนที่มีอุปนิสัยเชิงบวกด้านความฉลาดทางสังคมมากเกินไปอาจจะค้นพบว่า ตัวเองกลายเป็นคนที่มี ความระมัดระวังมากเกินไป มักจะจดจ่ออยู่กับความเจ็บปวด และความทุกข์ของผู้อื่นมากเกินไป ซึ่ง อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตในอนาคตได้
  • ใช้เวลามากเกินไปในการวิเคราะห์สถานการณ์ ซึ่งอาจจะทำให้พลาดโอกาสบางอย่างไป
  • หมกมุ่นกับการตีความสถานการณ์หรือวิเคราะห์ผู้อื่นมากเกินไปจนหลุดจากความเป็นจริง คิดว่าสิ่งที่ ตัวเองตีความเกี่ยวกับผู้อื่นเป็นความจริง อยู่กับสิ่งที่ตนเองคิดมากเกินจนมองข้ามสถานการณ์จริงที่ กำลังเกิดขึ้น
  • คนที่มีอุปนิสัยเชิงบวกด้านการทำงานเป็นทีมที่มากเกินไปมักจะให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีมที่ มากจนไม่สามารถที่จะทำงานด้วยตนเองให้สำเร็จได้
  • มักถูกมองว่าเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพึ่งพาผู้อื่นถึงจะทำงานได้สำเร็จ
  • มองข้ามคุณค่าของตนเองในฐานะสมาชิกกลุ่ม ทำให้ไม่กล้าแสดงความเห็นและหวังพึ่งผู้อื่นในกลุ่ม นำไปสู่การคิดตามผู้อื่นในกลุ่ม (groupthink) ส่งผลให้การตัดสินใจของกลุ่มมีอคติและไม่มี ประสิทธิภาพ
  • รับใช้กลุ่มหรือสังคมโดยไม่ตั้งคำถาม ทำให้สูญเสียความเป็นปัจเจกของตนเอง
  • คนที่มีความยุติธรรมมากเกินไปมักหมกมุ่นอยู่กับความสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างต้องเท่าเทียม ยุติธรรม ซึ่งถ้าไม่สามารถทำได้ อาจจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อจิตใจของตัวเองได้ง่าย
  • ถ้าเราไม่สามารถทำให้เกิดความเท่าเทียมได้ตามมาตรฐานของตัวเอง อาจจะทำให้เกิดการดูถูกตัวเอง ตำหนิ และไม่เห็นคุณค่าของตัวเองได้
  • อาจทำให้บุคคลใจจดใจจ่ออยู่กับการสร้างความยุติธรรมในสังคม โดยไม่คำนึงถึงความต้องการของ ตนเอง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาวะของบุคคลนั้น รวมไปถึงทำให้เจตจำนงในการต่อสู้เพื่อความเท่า เทียมลดลงอีกด้วย
  • อาจใส่ใจแต่ความยุติธรรมและความเท่าเทียม จนไม่ได้คำนึงความเป็นมนุษย์และสถานการณ์ส่วนตัว ของบุคคลอื่น
  • ต้องการสร้างความเสมอภาคให้กับทุกฝ่ายมากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดความโลเลในการตัดสินปัญหา ต่าง ๆ อย่างยุติธรรม
  • การมีความเป็นผู้นำมากเกินไปอาจจะทำให้สมาชิกในกลุ่มบางคนรู้สึกว่า เราใช้อำนาจ หรือมีการ ควบคุมทุกคนในกลุ่มมากเกินไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของสมาชิกในกลุ่มในเชิงลบได้
  • เมื่อเกิดการควบคุมที่มากเกินไป อาจจะสร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกในกลุ่มได้ และอาจจะเกิดการ เอาใจออกห่างจากกลุ่ม หรือสมาชิกบางคนที่ยอมให้หัวหน้าควบคุมก็อาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าที่ การเป็นผู้นำที่ไม่มีประสิทธิภาพและเป็นที่รังเกียจของผู้ตาม อาจส่งผลให้กลุ่มไม่สามารถประสบ ความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย
  • คนที่ให้อภัยที่มากเกินไปนั้นในบางครั้งอาจถูกทำร้ายจากคนใกล้ตัวบ่อยครั้ง เพราะคนอื่นอาจจะมอง ว่าเราเป็นคนไม่ถือสา หรือไม่คิดอะไรมาก ทำให้พวกเขามักจะกระทำผิดซ้ำ ๆ เสมอ
  • ในบางคนที่ให้อภัยมากเกินไปอาจจะทำให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนที่ไม่มีความคิดอ่านที่เป็นเหตุเป็น ผล สามารถหลอกใช้ได้ง่าย
  • ในบางคนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนมากเกินไปจะกลายเป็นคนที่ดูถูกตัวเอง ขาดความเข้าใจในตนเอง ปฏิเสธที่จะยอมรับตัวเอง ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จนทำให้ลดทอนคุณค่าในตัวเอง (self- deprecation) ได้
  • ไม่มั่นใจในตนเองจนไม่อยากให้ผู้อื่นมาทำความรู้จัก ไม่กล้าเปิดใจรับคนรอบตัวเข้ามาในชีวิต และ ปิดบังตัวตนที่แท้จริง ซึ่งส่งผลให้การความสัมพันธ์ดำเนินไปได้ยากขึ้น
  • คนที่มีความรอบคอบมากเกินไปนั้นอาจจะสร้างความอึดอัดให้คนอื่นได้ เพราะพวกเขารู้สึกว่าเราคิด เยอะเกินไป กลัวทุกสิ่งจนไม่ลงมือทำสักที
  • ในบางครั้งคนที่มีความรอบคอบมากเกินไปมักจะปฏิเสธที่จะท้าทายตัวเอง หรือปฏิเสธที่จะออกจาก พื้นที่ปลอดภัยของพวกเขา หวาดระแวงในความไม่แน่นอนของชีวิตมากเกินไป ซึ่งเป็นการขัดขวาง การพัฒนาตนเอง ส่งผลเสียต่อชีวิตในหลายแง่มุม รวมไปถึงการมีความสัมพันธ์และโอกาสในการ ทำงานที่ท้าทายอีกด้วย
  • คนที่มีการกำกับตัวเองที่มากเกินไปมักจะเป็นคนที่เจ้าระเบียบ เคร่งกฎเกณฑ์ ไม่ยืดหยุ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตได้ในอนาคต
  • ในบางคนที่มีการกำกับตัวเองมากเกินไปอาจจะสร้างความรู้สึกอึดอัดให้กับคนที่อยู่รอบข้าง จนส่งผล กระทบต่อความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่จะตามมาในอนาคตได้
  • ในบางคนที่มีอุปนิสัยด้านการชื่นชมความงามและความเป็นเลิศมากเกินไปนั้นอาจจะเกิดความรู้สึกขุ่น เคืองเมื่อคนอื่นมาพูดวิจารณ์ ตำหนิ หรือเพิกเฉยต่อความงามตามธรรมชาตินั้น ซึ่งอาจจะทำให้เกิด การทะเลาะ และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ได้
  • ในบางสถานการณ์คนที่มีอุปนิสัยนี้มากเกินไปอาจจะทำให้เป็นผู้ที่หมกมุ่นกับความสมบูรณ์แบบ (perfectionist) มีมาตรฐานสูงเกินจริง ไม่เห็นคุณค่าความสำเร็จของตนเอง เพราะคิดเพียงว่าสิ่ง รอบตัวดีเลิศจนมองข้าม ความงดงามของตัวเองไปได้ หรืออาจถูกผลักดันด้วยความเชื่อว่าสิ่งที่ตนเอง ทำนั้นยังไม่ดีพอ จนไม่เห็นคุณค่าความสำเร็จของตนเองและของผู้อื่น
  • คนอื่นอาจสงสัยในความจริงใจของเรา คิดว่าการรู้สึกขอบคุณที่มากเกินไปของเรานั้นดูเหมือนเป็นการ เสแสร้ง หรือประจบ ซึ่งอาจจะสร้างความรู้สึกเชิงลบให้แก่ผู้อื่น และส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ได้
  • ในบางคนที่มีอุปนิสัยนี้มากเกินไปอาจทำให้คนอื่นคนรู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนนั้น ไม่ได้ต้องการคำขอบคุณที่มากเกินไปซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะขัดขวางการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ใน อนาคต
  • อาจหมกมุ่นอยู่กับการเห็นคุณค่าในสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป จนไม่ได้สังเกตเห็นถึงข้อด้อยในบุคคลหรือ สถานการณ์นั้น ๆ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการหาความสัมพันธ์หรือโอกาสทางการงานที่ดีกว่าให้ตนเอง
  • ในคนที่มีความหวังมากเกินไปนั้น อาจจรู้ไม่มีความสุขกับตัวเอง และผู้อื่นมากนัก เพราะการมี ความหวังที่มากเกินไปเหมือนเราได้กำหนดมาตรฐานบางอย่างให้ตัวเราเอง และผู้อื่นไปแล้ว ซึ่งใน บางครั้งการมีความหวังที่มากเกินไปก็เรียกว่า ความคาดหวัง เมื่อเราเกิดความคาดหวังขึ้นมา แล้ว ตัวเอง หรือคนอื่นทำให้ผิดหวังเราก็อาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดี ไม่มีคุณค่า ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตใน อนาคตได้
  • ในบางคนที่มีความคาดหวังมาก ๆ อาจจะสร้างความลำบากใจให้กับผู้อื่นจนเกิดปัญหาเรื่อง ความสัมพันธ์ตามมาได้
  • หากแสดงความหวังมากเกินความต้องการของผู้อื่น อาจสร้างความรำคาญให้ผู้คนรอบข้างได้ และ ผู้อื่นอาจโต้กลับด้วยมุมมองทางลบเพื่อให้เกิดความสมดุล
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • การที่บุคคลหวังพึ่งการมีความหวังอย่างเดียว แต่ไม่ได้ลงมือทำตามความคาดหวังนั้นจริง ๆ อาจ เกิดจากการขาดอุปนิสัยการตัดสินใจในการประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง รวมถึงการ ขาดความกระตือรือร้นและการกำกับตนเอง ในการลงมือทำเพื่อสิ่งที่ตนปรารถนา
    • การกำหนดมาตรฐานและมั่นใจในศักยภาพของตนเองมากเกินไป อาจเกิดจากขาดอุปนิสัยความ รอบคอบในการคำนึงถึงผลของการตั้งเป้าหมาย และสิ่งที่ต้องทำในการที่จะบรรลุตามเป้าหมาย เหล่านั้น
  • ในบางคนที่มันจะชอบสร้างอารมณ์ขันที่มากเกินไปนั้นอาจจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกรำคาญ หรือรู้สึกว่าเราไม่ มีมารยาท เพราะอารมณ์ขันที่เราสร้างนั้นอาจจะไม่เหมาะสมกับช่วงเวลา และโอกาส
  • ในบางครั้งอาจจะถูกคนอื่นมองว่า คนที่มีอารมณ์ขันมากเกินไปนั้นสามารถทำให้คนอื่นเสื่อมเสีย ชื่อเสียงได้ เพราะพวกเขาอาจจะเอาเรื่องคนอื่นมาสร้างอารมณ์ขัน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ได้
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • อาจใช้อารมณ์ขันเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือความจริงจังในชีวิต โดยการใช้อารมณ์ขันใน การเบี่ยงเบนบทสนทนา เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหาหรือสิ่งที่บุคคลไม่อยากพูดถึง นำมาสู่การใช้อารมณ์ขันที่มากเกินไปและไม่เหมาะสม
  • บางคนที่ยึดถือความศรัทธากับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกมากเกินไป อาจจะทำให้หลงลืมความศรัทธาภายใน ตัวเองอาจจะถูกมองว่าเป็นคนงมงาย ขาดการคิดวิเคราะห์ในความเชื่อนั้น ๆ ซึ่งอาจจะทำให้ถูกชักจูง ไปในทางที่ไม่ดีได้ง่าย
  • ในบางครั้ง การที่เรามีความศรัทธาที่มากเกินไปอาจทำให้คนรอบข้างอาจจะรู้สึกหงุดหงิด รำคาญเมื่อ อยู่กับคน ๆ นั้นได้ เพราะพวกเขาอาจจะรู้สึกว่าเรางมงายในบางอย่างมากเกินไป จนดูเหมือนคนที่ไม่ ใส่ใจผู้อื่น
  • มองว่าสิ่งที่ตนศรัทธาเป็นสิ่งที่จริงแท้ที่สุด และพยายามยัดเยียดความเชื่อของตนเองให้แก่ผู้อื่น
  • มุ่งที่จะทำเพื่อสิ่งที่ตนยึดถือมากเกินไป จนไม่ได้คำนึงถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือหน้าที่อื่น ๆ ของตนเอง
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • ขาดการคิดอย่างมีเหตุผล (critical thinking) และการตัดสินใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตนตามสิ่งที่ ยึดถืออย่างพอดี
    • ขาดอุปนิสัยการถ่อมตน ที่จะรับรู้ว่าสิ่งที่ตนยึดถือไม่ได้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและจริงแท้ที่สุดใน จักรวาล
  • เกิดความสงสัยในคุณค่าความคิดของตัวเอง
  • รู้สึกประหม่าเกี่ยวกับการแบ่งปันความคิด
  • ขาดความมั่นใจในความคิดของตัวเอง
  • ยึดติดกับความคิดบางอย่างจนเกินไป อาจเป็นความคิดที่ได้รับการปลูกฝังหรือเป็นค่านิยมดั้งเดิมของ สังคม
  • มีความคิดไปในทางเดียวกับคนอื่น ๆ ในกลุ่มหรือในสังคม ไม่กล้าเห็นต่าง ยอมตามเสียงส่วนใหญ่ ไม่ มีความคิดเป็นของตนเอง
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • การไม่มีเวลาเพียงพอที่จะเกิดความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากความคิดสร้างสรรค์มี กระบวนการที่ต้องใช้เวลา
    • ความไม่มั่นใจในความคิดของตนเอง ทำให้ไม่กล้าแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์
  • อาจทำให้คนอื่นคิดว่า เรากำลังรู้สึกเบื่อ ไม่อยากสนใจ หรือกำลังเหนื่อยล้า
  • ทำให้คนอื่นรู้สึกไม่อยากเข้าหา หรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เพราะอาจเข้าใจว่าเราไม่ให้ความสนใจกับ เรื่องราวต่าง ๆ รอบตัว
  • ไม่มีสมาธิ ไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่รอบตัว ไม่เห็นรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ
  • ภาษากายที่แสดงออก เช่น การเหม่อ การขยับร่างกายอย่างเชื่องช้า การนิ่งเฉย
  • ตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ โดยไม่มีสติตื่นตัว (autopilot)
  • สนใจครุ่นคิดแต่เรื่องของตนเอง เรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง ไม่สนใจในความเป็นอยู่ของคนรอบข้างหรือ โลกรอบตัว
  • มองว่าชีวิตไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรือน่าตื่นเต้น
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • การห้ามตนเองให้ไม่แสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมา อาจเกิดจากความวิตกกังวล เช่น เมื่อเราอยู่กับผู้ที่มีอำนาจมากกว่า เราอาจตั้งคำถามน้อยลง แล้วทำตามคำสั่งอย่างเดียว
  • ถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่ไตร่ตรอง ไม่ฟังความคิดเห็นอื่น
  • มักแสดงออกโดยโต้เถียงด้วยอารมณ์ มากกว่าการใช้ข้อมูล
  • มีโอกาสที่จะตัดสินใจผิดพลาดได้สูง ซึ่งอาจทำให้ตัวเอง หรือคนรอบข้างเสียใจ
  • ในบทสนทนา มักจะไม่แสดงความคิดเห็นของตนเอง หรือพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ทำให้รู้สึกอับ อายหรือเสียใจภายหลัง
  • เมื่อหาข้อมูลใหม่ ๆ ก็มักจะเลือกแต่ข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อเดิมของตนเอง
  • มองว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อเป็นความจริงนิรันดร์ เช่น ความเชื่อทางศาสนา ไม่คิดสงสัยในสิ่งที่ตนเชื่อ
  • อาจสะท้อนผ่านความรังเกียจเดียดฉันท์ (prejudice) การใช้ภาพเหมารวม (stereotype) กับผู้ที่ แตกต่างหรือชนกลุ่มน้อยในสังคม
  • ความชาตินิยม (ethnocentrism) เอาชาติหรือวัฒนธรรมของตนเป็นศูนย์กลาง มองว่าชาติของ ตนเองดีกว่าชาติอื่น ๆ และเชื้อชาติอื่น ๆ ด้อยกว่า
  • ความอนุรักษ์นิยมที่ยึดมั่นในรัฐ (authoritarianism) ไม่ตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจในสังคม เกลียดชังผู้ที่ ต่อต้านรัฐอย่างมีอคติ ยึดมั่นกับค่านิยมที่รัฐกำหนดโดยปราศจากการตั้งคำถาม
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • อาจเกิดจากพ่อแม่ ครู โรงเรียน ศาสนา สถาบันการเมือง หรือสถาบันสังคมอื่น ๆ ไม่ สนับสนุนให้คนคิดอย่างมีวิจารณญาณ
    • ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด คนอาจพยายามปิดกั้นความคิดเห็นที่แตกต่างจากอีกฝ่าย เช่น พ่อ แม่พยายามปิดกั้นความเห็นของลูก เมื่อลูกเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่และมีความเห็นที่ขัดแย้งกับตน
  • ขาดความกระตือรือร้นเมื่อต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เรียนรู้ได้ช้ากว่าคนอื่น
  • มีโอกาสพบเจอกับอุปสรรค และความท้าทายในชีวิตสูง
  • พอใจในความรู้ที่มี ไม่คิดว่าตนจำเป็นต้องเรียนรู้หรือพัฒนาตนเอง
  • ในความสัมพันธ์ ความไม่สนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับคู่รักของเราอาจทำให้ความสัมพันธ์เหี่ยวเฉาไปได
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • ความรักการเรียนรู้นั้นอาจแตกต่างกันไปตามความสนใจในเรื่องต่าง การขาดความรักในการ เรียนรู้อาจเกิดจากความไม่สนใจในเรื่องนั้น ๆ หรือหมดความสนใจไป
  • อาจทำให้เราขาดมุมมองที่เปิดกว้าง และละเลย หรือไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราจริง ๆ
  • จมอยู่กับความวิตกกังวลหรือความเครียด เพราะไม่สามารถมองเห็นทางเลือกได้อย่างหลากหลาย เพียงพอ
  • ความไม่เข้าใจโลกรอบตัวทำให้รู้สึกถึงความไม่แน่นอนในชีวิต ก่อให้เกิดความกลัว ความวิตกกังวล
  • ยึดความคิดตนเองเป็นหลัก ไม่สามารถมองโลกในมุมมองอื่นได้
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • การไม่ใช้อุปนิสัยนี้ อาจเกิดจากบุคคลรู้สึกว่าตนเองไม่มีความรู้มากพอ ไม่มั่นใจว่าตนเองรู้ รอบด้าน อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงแรงกดดันจากผู้ที่รู้มากกว่า
    • มุมมองของบุคคลอาจถูกปิดกั้นจากความรู้สึกเครียด ความวิตกกังวล หรืออาจถูกปิดกั้นเมื่อ อยู่ในสถานการณ์บางอย่าง เช่น เมื่อคนอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวก็อาจมีพฤติกรรมหรือ อารมณ์ที่ปิดกั้นมุมมองใหม่ ๆ เพราะเกรงใจกัน ทำให้เกิดปัญหาในครอบครัวได้
  • ไม่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าถูกต้อง
  • ยอมแพ้ หรือเปลี่ยนการตัดสินใจได้ง่ายเมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดัน
  • อาจไม่สามารถเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการจริงๆได้
  • ใช้ชีวิตแบบ autopilot ไม่ลงมือริเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ ปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่คิด จะยืนหยัดเพื่อตนเอง
  • ทำตามผู้อื่นตลอดเวลา ไม่กล้าที่จะแตกต่าง รู้ว่าควรทำอะไรแต่กลับไม่ทำ เพราะไม่ต้องการโดดเด่น แตกต่างจากกลุ่ม
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • ความไม่มั่นใจในตนเอง ไม่เชื่อว่าตนเองสามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ อาจทำให้ บุคคลไม่กล้าแสดงความกล้าหาญออกมา
  • ขาดความเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเองว่า เป็นปัจจัยสำคัญในการเดินทางสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย ที่ตั้งไว้
  • เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย เกียจคร้านได้ง่ายเมื่อต้องทำอะไรเป็นระยะเวลานาน
  • ในบางคนอาจยอมแพ้เร็วกว่าคนอื่น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรค หรือความท้าทาย
  • หาทางลัดในงานที่ทำ เลือกที่จะทำงานให้ง่ายแทนที่จะทำงานให้ถูกต้อง
  • แสดงออกถึงความช่วยเหลือตนเองไม่ได้ (helplessness)
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • การขาดความมั่นใจในตนเอง ขาดความรู้หรือทักษะในงานที่ทำ
    • ความช่วยเหลือตนเองไม่ได้อาจเกิดจากการเรียนรู้ (หรือ learned helplessness) อาจเกิด จากการตั้งเป้าหมายที่เกินจริงบ่อยครั้ง ทำให้ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนรู้สึกว่าตนเองไม่มี ความสามารถ
    • ความรู้สึกหมดหวัง (hopelessness)
    • ความรู้สึกว่าตนเองโชคร้าย (haplessness) Helplessness, hopelessness, และ haplessness สะท้อนถึง Depression Triad คือ 3 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า ได้แก่ (1) มุมมองทางลบเกี่ยวกับตนเอง (2) เกี่ยวกับอนาคต และ (3) เกี่ยวกับโลกรอบตัว
  • มักจะทำทุกวิธีเพื่อหลีกเลี่ยงความจริงที่เกิดขึ้น เพราะกลัวที่จะรับผลกระทบเชิงลบที่ตามมาได้
  • เพิกเฉยต่อคำตำหนิ หรือคำตักเตือนของคนอื่น และมักจะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่อปกป้อง ภาพลักษณ์ของตัวเองไม่ให้ดูเป็นคนไม่ดี
  • การมีความซื่อสัตย์ที่น้อยเกินไปทำให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนที่ไม่มีความจริงใจ อาจจะส่งผลต่อความ ไว้วางใจ ซึ่งถือเป็นหัวใจของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้คน
  • ไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองพูดหรือทำ โยนความผิดของตนให้คนอื่น เมื่อการกระทำของตนนำมาสู่ ผลเสีย จะโทษปัจจัยแวดล้อม แทนที่จะรับผิดชอบการกระทำของตนเอง
  • โกหก หลอกลวง ทำตัวเสแสร้งตลอดเวลา อาจพยายามสร้างฉากหน้าเพื่อปิดบังชีวิตที่เป็นอยู่จริง
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • คน ๆ นั้นพยายามปกป้องตนเองจากความจริง เพราะความจริงทำให้เขารู้สึกอับอายหรือ เจ็บปวด
    • พยายามรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง (self-image) เพื่อให้ตนเองยังมองตนเองในด้านบวก ต่อไปเรื่อย ๆ กลบเกลื่อนและซ่อนด้านลบของตนเอง ทั้งจากตนเองและจากผู้อื่น
    • พยายามรักษาความรู้สึกผู้อื่น (การพูดความเท็จเพื่อรักษาความรู้สึกผู้อื่นอาจเป็นสิ่งที่ เหมาะสม ขึ้นอยู่กับสถานการณ์)
    • กลัวว่าถ้าซื่อสัตย์หรือแสดงความจริงใจออกมาแล้วจะถูกผู้อื่นเอาเปรียบ
  • ขาดพลังงานเชิงบวกในการทำในสิ่งต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย หดหู่ หรือสิ้นหวังได้
  • ในด้านของการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น หากเราขาดซึ่งความกระตือรือร้น อาจทำให้คนรอบข้าง รู้สึกว่าเราไม่ใส่ใจกับพวกเขา ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ได้ในระยะยาว
  • คนที่ทำตัวเฉื่อยชา หดหู่อาจทำให้บรรยากาศรอบตัวหรือคนรอบตัวมีชีวิตชีวาน้อยลงตาม ผู้อื่นจึง พยายามหลีกเลี่ยง ไม่เข้าใกล้
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแต่พลังงานลบ เช่น เพื่อนร่วมงานชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น พูด แต่สิ่งที่ไม่ดี ทำให้ความกระตือรือร้นในการทำงานหายไป
  • คนที่มีอุปนิสัยเชิงบวกด้านความรักที่น้อยเกินไปอาจจะรู้สึกอบอุ่น หรือผูกพันกับคนอื่นได้อาจจะ ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ได้
  • ในบางคนที่มีอุปนิสัยด้านความรักน้อยเกินไป อาจไม่สามารถแสดงความรัก และความห่วงใยต่อผู้อื่น ได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการขาดประสบการณ์เกี่ยวกับความรัก หรือไม่เข้าใจว่าการแสดงกับคนอื่นต้อง ทำอย่างไร
  • ในบางคนการมีอุปนิสัยด้านความรักที่น้อยเกินไป อาจส่งผลกระทบทางลบกับตัวเองในด้านของ อารมณ์ และสุขภาพ เพราะขาดความรู้ และทักษะในการรักตัวเอง
  • ไม่รับความรักจากผู้อื่น คนบางคนอาจมอบความรักให้ผู้อื่น แต่หลีกเลี่ยงที่จะรับความรักจากผู้อื่น เช่น ผู้ปกครองอาจมองว่าตนเองมีหน้าที่มอบความรักให้กับลูก แต่หลีกเลี่ยงไม่รับความรักจากลูก
  • ไม่รักตนเอง ไม่ดูแลจัดการชีวิตตนเอง ตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์ตนเองมากเกินไป
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • ขาดประสบการณ์เกี่ยวกับความรัก หรือไม่เข้าใจว่าการแสดงกับคนอื่นต้องทำอย่างไร
    • ความเจ็บปวดจากความรักในอดีต ทำให้ไม่กล้าเปิดใจรักใครอีก
    • ในบางสถานการณ์ การแสดงความรักนั้นยากกว่าสถานการณ์อื่น เช่น การแสดงความรักต่อ เพื่อนร่วมงานนั้นอาจยากกว่าการแสดงความรักต่อคนในครอบครัว
    • อาจสัมพันธ์กับโรคทางบุคลิกภาพ (personality disorder) หรือปัญหาทางพัฒนาการ เช่น ออทิสซึม
  • อาจจะถูกมองว่าเป็นคนไม่เอื้อเฟื้อ และขาดความเห็นอกเห็นใจคนอื่น และอาจจะส่งผลกระทบต่อ ความสัมพันธ์ในเชิงลบได้
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • การหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตนเอง ทำให้ไม่ได้สนใจคนรอบข้าง
    • เราอาจห่วงใยคนบางคนน้อยกว่าคนอื่น ๆ เช่น ลูกมักแสดงความใจดีห่วงใยพ่อแม่น้อยกว่าที่ แสดงออกกับผู้อื่น
    • ความแตกต่างของเชื้อชาติ ศาสนา ความแตกต่างในความหลากหลายทางเพศ ทำให้คนเรา เกิดความแบ่งแยก แสดงความห่วงใยใจดีต่อกันน้อย
  • คนที่มีอุปนิสัยเชิงบวกด้านความฉลาดทางสังคมน้อยเกินไปอาจดูเหมือนเป็นคนไร้ความคิด หรือไร้ ความรู้สึก เพราะพวกเขาจะไม่สนใจคนรอบข้าง แต่จะยึดตัวเองเป็นหลัก
  • อาจจะเกิดความเครียดได้เนื่องจากไม่สามารถปรับความคิดให้ยืดหยุ่นได้ตามแต่ละสถานการณ์
  • ไม่ไวต่อความรู้สึกของคนรอบข้าง ไม่เข้าใจคนรอบข้าง ขาดทักษะทางอารมณ์ ไม่สามารถระบุอารมณ์ ตนเองหรือผู้อื่นได้
  • ไม่เข้าใจความซับซ้อนของสังคม ตีความสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ถูกต้อง ตีความเจตนาของผู้อื่น ผิดเพี้ยน
  • พูดอะไรไม่ถูกที่ถูกเวลา อาจแสดงพฤติกรรมที่ผิดมารยาทของสังคม ทำให้ผู้อื่นเกิดความขุ่นเคือง
  • ใช้ภาพเหมารวม (stereotype) กับผู้อื่น เหมารวมคนเป็นกลุ่ม ๆ แทนที่จะทำความเข้าใจความ แตกต่างของคนแต่ละคน
  • ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง ตีตรา (label) ตนเองแทนที่จะทำความเข้าใจตนเอง เอา บทบาทที่สังคมมอบให้มาใช้นิยามตนเอง แทนที่จะค้นหาและทำความเข้าใจตนเอง
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • ความฉลาดทางสังคมที่น้อยอาจเกิดจากการขาดประสบการณ์ทางสังคม ทำให้ไม่มีโอกาสได้ เรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ที่สำคัญ นอกจากนี้อาจเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีปัญหาทางการรู้คิด เช่น alexithymia, infantile autism เป็นต้น
  • ชอบที่จะทำงานคนเดียว เพราะรู้สึกว่าการทำงานเป็นทีมนั้นมีแต่ปัญหา
  • มักถูกมองว่าให้ความสำคัญกับเป้าหมายส่วนตัวมากกว่าเป้าหมายส่วนรวม อาจจะทำให้คนอื่นมองว่า เราเป็นคนที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในอนาคตได้
  • มองว่าการทำงานกลุ่มเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก จึงอู้งาน ไม่ทำงานส่วนของตนเอง และปล่อยให้สมาชิกคน อื่นในกลุ่มเป็นผู้แบกงานทั้งหมด
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • สาเหตุที่อู้งาน อาจเกิดจากความไม่มั่นใจในตนเอง มีความเชื่อว่าตนไม่มีทักษะเพียงพอที่จะ ทำงาน หรือการเป็นคนขี้เกียจ
  • คนที่มีความยุติธรรมน้อยเกินไปมักถูกมองว่าเป็นตนเห็นแก่ตัว หรือเห็นแก่พวกพ้องตัวเอง ซึ่งส่งผล กระทบต่อความไว้วางใจของคนอื่นได้
  • เป็นบุคคลที่ตัดสินคนอย่างมีอคติ (prejudiced) มีการรับรู้และตีความผู้อื่นอย่างไม่ยุติธรรม ทำให้ ปฏิบัติตัวต่อคนรอบตัวอย่างไม่เท่าเทียมกัน
  • ยอมรับและปล่อยผ่านความไม่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับตนเองและสังคม (complacent)
  • การมีความเป็นผู้นำน้อยเกินไปอาจจะทำให้บางคนรู้สึกว่า เราไม่มีความเป็นผู้นำ ซึ่งอาจจะทำให้พวก เขาไม่ยอมรับ หรือเคารพในตัวเราได้
  • การที่มีความเป็นผู้นำที่น้อยเกินไปอาจจะสร้างความไม่เชื่อมั่นให้กับสมาชิกในกลุ่ม และอาจจะทำให้ สมาชิกในกลุ่มเกิดความไม่พอใจ หรือเกิดความกังวลในตัวผู้นำได้
  • กลายเป็นบุคคลที่เชื่อฟังและยอมตามคนอื่นมากเกินไป
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • อาจเกิดจากการที่บุคคลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำอย่างไม่เต็มใจ ไม่มีแรงจูงส่วนตัวที่จะเป็น ผู้นำ หรือมีความรู้สึกว่าตนเองไม่พร้อมที่จะเป็นผู้นำ
    • ในผู้ที่ปรารถนาที่จะเป็นผู้นำ แต่มีความเป็นผู้นำต่ำ อาจเป็นเพราะไม่ได้คำนึงถึงคุณสมบัติอันพึง ประสงค์หรือกระบวนการทำงานที่เหมาะสมในการเป็นผู้นำที่ดี
  • คนที่ไม่ให้อภัยคนอื่นมักจะรู้สึกโกรธแค้นคนอื่น หรือตัวเองตลอดเวลา ซึ่งความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น สามารถส่งผลกระทบในเชิงลบต่อร่างกาย และจิตใจของเราได้
  • ในบางคนที่มีอุปนิสัยด้านการให้อภัยที่น้อยเกินไปมักจะเป็นคนที่มีความเจ้าคิดเจ้าแค้น เห็นดีเห็นงาม กับการลงโทษที่รุนแรง ไม่ให้โอกาสในการปรับปรุงตัวกับคนอื่น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบในเชิงลบใน ด้านความสัมพันธ์ได้
  • ไม่ยอมให้อภัยตนเองในตอนที่ล้มเหลวหรือผิดพลาด ทำให้เกิดผลเสียต่อจิตใจและอาจลามไปถึง ร่างกายตามมา
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • มีความเป็นไปได้ว่าไม่ให้อภัยเพราะขัดแย้งกับอุปนิสัยอื่น เช่น ความเท่าเทียม (fairness) ทำให้ เกิดความคิดว่าผู้กระทำผิดสมควรได้รับโทษ จึงตัดสินใจที่จะไม่ให้อภัย
    • อาจเลือกที่จะไม่ให้อภัยเพื่อปกป้องตนเองจากความเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำผิดซ้ำ หรือเชื่อว่าเป็นการสร้างจุดอ่อนให้แก่ตนเองหากต้องคืนดีกับผู้กระทำผิด เป็นต้น
  • คนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนที่น้อยเกินไปนั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นคนเย่อหยิ่ง โอ้อวดว่าตนเองดีกว่า คนอื่น คนอื่นไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ จนทำให้กลายเป็นคนที่มีความนับถือตัวเองในเชิงลบ ซึ่งสิ่ง เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในอนาคตได้
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • ไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อความสำเร็จของตนเอง เช่น ความช่วยเหลือจากผู้อื่น
    • เสียความมั่นใจที่บุคคลอื่นได้รับการชื่นชม จึงหันมาโอ้อวดตนเองเพื่อลดความรู้สึกทางลบนั้น
    • เป็นบุคคลที่มีการแข่งขันสูง (competitive)
  • ในบางคนที่มีความรอบคอบน้อยเกินไปนั้นอาจส่งผลให้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงโดยที่ไม่มีวิธีรับมือไว้ ล่วงหน้า เกิดความผิดพลาดได้ง่าย และบ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลให้คนอื่นอาจจะไม่ไว้วางใจในตัวเรา เพราะ ความไม่รอบคอบของเราเอง
  • ในบางครั้งที่เราไม่ได้ใช้ความรอบคอบที่เหมาะสมอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่าง ๆ ในชีวิตของตนเอง และผู้อื่นได้
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • อาจได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างที่มีความรอบคอบต่ำ จนถูกกดดันให้แสดงพฤติกรรมหุนหัน พลันแล่นตามไปด้วย
  • ในบางคนการกำกับตัวเองที่น้อยเกินไปอาจจะทำให้ไม่สามารถทำงานต่างๆได้สำเร็จ หรือไม่เป็นไป ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจในเชิงลบได้
  • คนที่มีการกำกับตัวเองน้อยเกินไปนั้นมักจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ หรือพฤติกรรมของตนเองได้ซึ่ง ทำให้เกิดปัญหาในสังคมจำนวนมาก
  • มีความใส่ใจ (attention) ที่วอกแวก ไม่มีสมาธิจดจ่อกับเป้าหมายของตนเอง ส่งผลให้การบรรลุตาม เป้าหมายเป็นไปได้ยากขึ้น
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • ขาดการสังเกตและการฝึกฝนการกำกับตนเอง ทำให้ปล่อยตัวปล่อยใจให้ตอบสนองตามสิ่งที่ ตนต้องการมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลย้อนกลับมาเป็นความสามารถในการกำกับตนเองที่แย่ลงอีก
  • ในบางคนที่มีอุปนิสัยนี้น้อยเกินไปนั้นอาจจะทำให้พลาดโอกาสที่จะพบความงามในสิ่งที่ดูเหมือนเป็น เรื่องธรรมดาหรือเป็นกิจวัตรไป
  • เมื่อเรามองไม่เห็นถึงความงามและความเป็นเลิศในสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ภายในจิตใจก็อาจจะเกิด ผลกระทบในเชิงลบ และส่งผลกระทบกับสุขภาพกายและใจของเราได้
  • ในบางคนมักจดจ่ออยู่กับจิตใจของตัวเองมากจนไม่สังเกตเห็นผู้คน หรือสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าเราว่ามี คุณค่าเพียงใด และทำให้พลาดโอกาสที่จะแสดงความขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่เกิดกับตัวเรา รวมถึง ร่างกายของเราเองได้
  • บางคนที่มีอุปนิสัยนี้น้อยเกินไปนั้นอาจจะเกิดจากขาดทักษะทางอารมณ์หรือทักษะทางสังคมในการ แสดงความขอบคุณนั้น ทำให้ไม่สามารถแสดงความรู้สึกขอบคุณออกมาได้ จนทำให้คิดว่าตัวเองไม่มี อุปนิสัยนี้ หรือมีน้อยเกินไป
  • อาจหมกมุ่นอยู่กับความพยายามของตนเอง จนมองข้ามคุณค่าของความช่วยเหลือที่ได้รับจากคน รอบตัว เช่น เพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่มีได้
  • คนที่มีความหวังน้อยเกินไปนั้นอาจถูกมองว่า เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย สิ้นหวัง เต็มไปด้วยความคิด เชิงลบซึ่งสามารถกระทบต่อความสัมพันธ์ได้
  • ในบางครั้งการมีความหวังที่น้อยเกินไปอาจจะทำให้เรารู้สึกหมดหนทาง เกิดความเครียด และความ วิตกกังวลขึ้นมา ซึ่งถ้าไม่รีบจัดการอาจจะทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพจิตตามมาได้
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • บุคคลอาจปฏิเสธที่จะมองโลกอย่างมีความหวัง เพื่อเป็นการปกป้องตนเองจากความรู้สึกทางลบที่ ได้จากความผิดหวัง นำบุคคลนั้นไปสู่การมองโลกในแง่ร้าย (pessimism)
    • อาจขาดอุปนิสัยการมีมุมมองที่หลากหลาย (perspective) ที่จะทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ใน เชิงบวก และการกำกับตนเอง (self-regulation) ที่จะการลงมือทำให้สำเร็จตามความหวังนั้น ๆ ได้ เกิดเป็นความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า นำไปสู่การเป็นผู้ที่กลัวความผิดหวังและไม่กล้าที่จะมี ความคาดหวังอีก
  • คนที่มีอารมณ์ขันน้อยเกินไปมักจะดูเคร่งขรึม น่ากลัว ไม่เป็นมิตร ทำให้คนอื่นไม่อยากจะอยู่ใกล้ หรือ พูดคุยด้วย ซึ่งสามารถส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นได้อย่างมาก
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • อาจเป็นเพราะปัจจัยทางอารมณ์ อย่างความรู้สึกเศร้าหรือการตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า
    • อาจเป็นเพราะปัจจัยเชิงบุคลิกภาพที่จะเป็นคนจริงจังกับชีวิตอยู่แล้ว หรือไม่สบายใจที่จะเล่นตลก ขบขันใครเห็น
    • อาจเป็นเพราะปัจจัยทางความคิดของบุคคล ที่เชื่อว่าตนเองไม่ใช่คนตลก หรือมองเห็น สถานการณ์แค่ด้านเดียว ทำให้ไม่เห็นถึงด้านที่ตลกขบขันของสถานการณ์
  • บางคนอาจดูเหมือนคนที่ไม่มีเป้าหมาย ทำให้เหมือนคนกำลังหลงทาง และไร้ความหมายในการใช้ ชีวิต ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการยึดถือคุณค่าบางอย่างได้
  • มีความเชื่อที่ตนเองยึดถือ แต่จะปฏิบัติตามพิธีกรรมหรือหลักปฏิบัติอย่างงมงาย และไม่ได้นำคุณธรรม จากสิ่งที่ตนศรัทธามาปรับใช้จริงในชีวิตประจำวัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความสัมพันธ์ได้
  • สาเหตุอาจเกิดจาก
    • อาจขาดการชี้แนะ หรือการกระตุ้นให้เห็นถึงความหมายและคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว