เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนผ่านความคิดและพฤติกรรมที่มีความแปลกใหม่และแตกต่าง
โดยความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองและต่อสังคมคนรอบข้าง
ตามองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ที่ประกอบด้วย ความแปลกใหม่ แตกต่างจากที่มีอยู่
และความคิดนั้นต้องเป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือต่อผู้อื่นด้วย
ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่สามารถเสริมสร้างและพัฒนาได้
จากการวิจัยพบว่าความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับสติปัญญาหรือความเฉลียวฉลาด
ความคิดสร้างสรรค์สามารถแสดงออกในสายงานหรือสาขาอาชีพต่าง ๆ แตกต่างกัน เช่น ในสายศิลป์
(ผ่านงานศิลปะ ดนตรี ออกแบบ หรือบทกวี) ในสายวิทย์ (ผ่านการสร้างวิจัย ทฤษฎีต่าง ๆ )
ในสายธุรกิจ
(ผ่านกลยุทธ์บริษัท แผนการตลาด) ในชีวิตประจำวันทั่วไปได้ (การวางแผนจัดการเวลา
การวางแผนการเดินทาง
การแก้ไข ปัญหาในครอบครัวหรือปัญหาในความสัมพันธ์)
เป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับความสงสัยและการตั้งคำถาม
มักจะชอบเข้าหาสถานการณ์หรือสิ่งที่แปลกใหม่ ชอบทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ
หรือสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน
มักจะมีความสุขเมื่อได้ทำกิจกรรมที่มีความท้าทายสูงหรือเมื่อได้เผชิญประสบการณ์ใหม่ ๆ
และอาจเกิดความเบื่อหน่ายได้ง่ายหากต้องอยู่กับกิจวัตรที่จำเจ
อีกทั้งยังชอบหาความรู้ใหม่ ๆ
เมื่อคนที่มีความอยากรู้อยากเห็นได้รับข้อเท็จจริงใหม่ที่ขัดแย้งกับความเชื่อเดิมของตัวเอง
ก็จะก่อเกิดความสงสัยและค้นหาข้อมูลจนสิ้น ความสงสัย และยังชอบค้นหาข้อมูลใหม่ ๆ
ที่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับโลกรอบตัวมากขึ้น
เป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จะไม่รีบด่วนสรุป
มักใช้ข้อมูลและหลักฐานที่ผ่านการคิด ทดสอบตามความเป็นจริงในการนำมาซึ่งข้อสรุป
ไม่ใช้ความเชื่อส่วนตัวในการตัดสินใจ
หรือเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงเพราะผู้อื่นกล่าวกันต่อ
ๆ
มา คนเหล่านี้มักจะมีการศึกษาหาข้อมูลก่อนการตัดสินใจหรือก่อนจะเชื่ออะไรบางอย่าง
พร้อมรับข้อมูลที่ขัดแย้งจากความเชื่อเดิมของตัวเอง
คนที่มีอุปนิสัยนี้ไม่ยึดมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ถูกต้องเสมอไป
พร้อมปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเองให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
แต่ก็ไม่ได้หมายถึงการรับฟังทุกคนจนสามารถถูกโน้มน้าวใจได้ง่าย
และไม่ได้หมายถึงการไม่เชื่อในสิ่งใดเลยจนขาดสิ่งยึดเหนี่ยวในชีวิต
อีกทั้งสิ่งที่ตรงข้ามกับอุปนิสัยนี้ คือ การมีอคติทางความคิด เชื่อข่าวสารต่าง ๆ
เพียงเพราะมาจากพรรคพวกของตัวเอง การถูกผู้อื่นโน้มน้าวใจได้ง่าย
การตัดสินใจตามเสียงส่วนใหญ่ของกลุ่มโดยไม่คิดวิเคราะห์ถึงปัญหาด้วยตัวเอง
เป็นอุปนิสัยที่มีความรู้สึกในเชิงบวกต่อเมื่อได้รับทักษะ หรือความรู้ใหม่
มองว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งท้าทายและเป็นประโยชน์
ซึ่งคนที่มีอุปนิสัยด้านนี้มักจะเป็นคนที่พยายามค้นคว้าหา ความรู้
เมื่อรู้อะไรแล้วต้องรู้ให้ลึก รู้ให้จริง
และพยายามใช้ความรู้เหล่านั้นมาตอบสนองต่อการพัฒนาตัวเองในระยะยาวของชีวิตตัวเอง
มักจะให้ความสำคัญกับทักษะความรู้ (mastery orientation) มากกว่าผลลัพธ์
กล่าวคือเป็นการวัดความสำเร็จในการเรียนรู้ของตัวเองจากพัฒนาการที่เกิดขึ้น
โดยสนใจว่าตัวเองพัฒนาทักษะความรู้มากแค่ไหน
มากกว่าจะวัดความสำเร็จของตัวเองจากตัวชี้วัดที่ตายตัว เช่น ตัวเลขในเกรด
การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น
ซึ่งวิถีคิดที่ให้ความสำคัญกับทักษะความรู้สอดคล้องกับวิถีคิดแบบเติบโตด้วย (growth
mindset)
มักจะให้คุณค่าและความหมายกับสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ (value) ด้วยเช่น
สิ่งที่เรียนรู้นี้ให้ประโยชน์อะไรกับตัวเองในอนาคต และพวกเขามีความสนใจ (interest)
ในสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้อย่างมาก
ดังนั้นจึงทุ่มเทเวลาและความคิดให้กับสิ่งที่สนใจจนรู้ถึงสิ่งนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง
ความเหมือนต่างเมื่อเทียบกับความอยากรู้อยากเห็น (curiosity)
จะพบว่ามีความเหมือนกันในแง่ที่ทั้งคู่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ใหม่ ๆ ให้กับบุคคล
แต่ความรักในการเรียนรู้นั้นเป็นการเพิ่มความรู้ในสิ่งที่สนใจอยู่แล้วให้มี
ความลึกซึ้งมากขึ้น
เป็นการเรียนรู้ในเชิงลึกเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ
ในขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นเป็น
การเพิ่มความรู้ในวงกว้าง เป็นการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ ที่อาจไม่ใช่การเสริมความรู้
ความเชี่ยวชาญเดิมที่มีอยู่
เป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวกับการมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง
สามารถมองเห็นทั้งภาพรวมและองค์ประกอบย่อยเหล่านั้น เมื่อได้เรียนรู้มุมมองใหม่ ๆ
ก็สามารถบูรณาการมุมมองเหล่านั้นเข้ากับมุมมองเดิม
ทำให้เกิดความเข้าใจโลกและชีวิตที่รอบด้านมากขึ้น นอกจากนี้ยังตระหนักรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ
ไม่ได้อยู่นิ่ง แต่มีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอด จึงไม่ได้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ แค่ในระยะสั้น
แต่มองเห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวด้วย
การมีมุมมองที่หลากหลายสะท้อนให้เห็นผ่านมุมมองที่บุคคลมีต่อตัวเอง ต่อคนรอบตัว
ต่อสังคม
ต่อโลก
ต่อคุณค่าและความหมายต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นมุมมองทางบวกและสะท้อนถึงความเป็นจริง
ดังนั้นแล้ว
คนที่มีอุปนิสัยนี้จึงสามารถให้คำแนะนำที่ดีแก่ผู้อื่น
สามารถเข้าใจปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างรอบด้านและแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม
และส่งผลให้ผู้อื่นรู้จักตัวเอง และเข้าใจโลกรอบตัวมากขึ้น
เป็นอุปนิสัยที่สามารถยืนหยัดเอาชนะความกลัวภายในจิตใจของตัวเองได้
กล้าเผชิญหน้ากับความจริง
ความถูกต้องแม้สิ่งที่ทำจะเป็นการกระทำของคนส่วนน้อยก็ตาม มักมีองค์ประกอบคือ
การเผชิญหน้า
(facing) ซึ่งเกิดจากความสมัครใจ ไม่ได้เกิดจากการบังคับกดดันจากคนอื่น
มีการตัดสินใจไตร่ตรองก่อนลงมือกระทำ และทำลงไปทั้ง ๆ ที่เกิดความกลัวในใจ
รับรู้ถึงความเสี่ยง
หรืออาจพบกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น แต่ก็ยังเต็มใจที่จะทำทั้ง ๆ ที่กลัว
และสิ่งที่ทำนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง แก่ผู้อื่น
หรือแก่ส่วนรวม
ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นประเภทต่าง ๆ ได้ตามนี้
1. ความกล้าในทางกายภาพ (physical bravery) คือ
ความกล้าที่จะเผชิญความกลัวที่เกี่ยวกับร่างกาย
เช่น การบาดเจ็บ ความตาย ความเหนื่อยล้า ความยากลำบาก
เหมือนสถานการณ์คนที่สมัครเป็นทหารเพื่อเข้าสู้รบในสงคราม
คนที่กำลังเผชิญกับโรคร้ายที่รักษาไม่ได้แต่ก็ยังมีกำลังใจในการใช้ชีวิต
2. ความกล้าในทางจิตใจ (psychological bravery) คือ ความกล้าที่จะเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ
ของตัวเอง
เช่น กล้ายอมรับว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์
กล้ายอมรับว่าตัวเองกลัวการนำเสนอหน้าชั้นเรียน
กล้าที่จะแก้ปัญหาส่วนตัวของตัวเองและกล้าขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
3. ความกล้าในทางจริยธรรม (moral bravery) คือ
ความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าถูกต้อง แม้จะกลัวผลกระทบทางสังคมที่ตาม
เช่น
การปฏิเสธไม่ทดลองยาเสพติดกับเพื่อน แม้จะรู้ว่าอาจถูกเพื่อนปฏิเสธออกจากกลุ่ม
การกล้าให้ความเห็นที่แตกต่างใน social media
แม้อาจจะถูกผู้อื่นนำไปประจานหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ การบอกความจริงกับเจ้านาย
แม้อาจถูกไล่ออก
ถูกลดตำแหน่ง หรือถูกหักเงินเดือน
4. ความกลัวที่เราเผชิญหน้าอาจเป็นความกลัวทั่วไปที่ทุกคนมี (general bravery) เช่น
การเข้าไปช่วย คนที่กำลังถูกปล้น
หรืออาจเป็นการเผชิญหน้ากับความกลัวส่วนตัวของเราเองก็ได้
(personal bravery) เช่น ความกลัวแมลง ความกลัวการนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น
เป็นอุปนิสัยที่สามารถจัดการกับสิ่งที่เริ่มต้นไว้ให้ไปถึงเป้าหมาย
ประกอบไปด้วยความพยายาม
และการกระทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอุปสรรค หรือความน่าเบื่อมากแค่ไหนก็ตาม
ก็สามารถไปต่อได้ เพราะสามารถสร้างภาวะที่ตัวเองสามารถที่จะสนุก
เพลิดเพลินต่อสิ่งที่ทำอยู่ได้
หรือมีการเพิ่มความอดทนไม่ว่าจะเจออุปสรรคแค่ไหนก็ตาม
ก็จะมีความมั่นคงในจิตใจที่จะนำตัวเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้
มักจะเป็นการพาตัวเองไปพบกับความท้าทายและมองว่านี้คือโอกาสในการเรียนรู้
เป็นความท้าทายที่ต้องเอาชนะ ดังนั้นคนที่มีความมุมานะที่เต็มไปด้วยความเชื่อ ความคิด
ความยึดมั่นในคุณค่าและเป้าหมายของตัวเอง
จะสามารถจัดระเบียบวางแผนตัวเองในการทำกิจกรรมต่าง
ๆ
เช่น กำหนดเวลาพัก การให้รางวัลตัวเองระหว่างทางไปถึงเป้าหมาย
ทำให้คนที่มีความุมานะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้
ความเหมือนต่างเมื่อเทียบกับการกำกับตัวเอง (self-regulation)
จะแตกต่างกันตรงที่ความมุมานะเป็นการควบคุมตัวเองในระยะยาวจนกระทั่งเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้สำเร็จลุล่วง
แต่การกำกับตัวเองเป็นการมีสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน ณ ขณะใดขณะหนึ่ง และกำกับตัวเอง ณ
ขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม การกำกับตัวเองก็มีส่วนช่วยให้บุคคลบรรลุเป้าหมายด้วย
เป็นอุปนิสัยที่แสดงออกถึงความจริงใจ (authenticity)
รับผิดชอบต่อความรู้สึกและการกระทำของตัวเอง
หมายความว่าต่อให้ความจริงจะเป็นสิ่งที่เขาชอบหรือไม่ชอบ เขาจะซื่อตรงต่อความจริงนั้น ๆ
และสื่อสารออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา โดยเขาจะเคารพในความแตกต่างของคนอื่นด้วย
ไม่ใช่ว่าจะถือความจริงของตัวเองเพียงอย่างเดียว เช่น
อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เกินความเป็นจริง ไม่พูดน้อยกว่าความจริง ไม่บิดเบือน
หรือตัดทอนเนื้อหาเหตุการณ์บางอย่างออก รวมไปถึงการพูดตามความคิด
ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
ความซื่อสัตย์สัมพันธ์กับความฉลาดทางสังคม ในแง่ของความเป็นหนึ่งในตัวเอง โดยที่คน ๆ
หนึ่งจะมีความสอดคล้องในตัวเองได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจตัวเอง ซึ่งความเข้าใจตัวเอง
(personal
intelligence) ก็เป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยความฉลาดทางสังคม
เป็นอุปนิสัยที่สามารถเติมเต็มความรู้สึกมีชีวิตชีวา
ทั้งกับตัวเองและคนรอบตัวได้เป็นอย่างดี
ซึ่งมักจะสามารถสร้างช่วงเวลาแห่งความเพลิดเพลินในสิ่งที่ทำ (flow) ได้อย่างสม่ำเสมอ
มีความสนุกสนาน และสามารถที่จะแผ่ขยายความเพลิดเพลิน หรือพลังงานดี ๆ
ไปให้กับคนรอบตัวได้
พร้อมริเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ ที่อยากทำ พร้อมเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัวตามความต้องการของตัวเอง
ถือเป็นพลังงานทางบวกที่แสดงออกผ่านความมีชีวิตชีวา ความตื่นตัวพร้อมทำสิ่งต่าง ๆ
ความไม่เหนื่อยล้าในการทำงาน ซึ่งพลังงานเหล่านี้ทำให้คนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ
ในชีวิต
สามารถ ปล่อยให้ความคิดและจิตใจกลายเป็นส่วนหนึ่งกับงานที่ทำ
สามารถสร้างความหมายและคุณค่าในชีวิตและใน กิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำ
พร้อมซึมซับความหมายและคุณค่าเหล่านั้นให้เป็นส่วนหนึ่งของตัวตน
ทำให้ชีวิตรู้สึกมีคุณค่าและมีเป้าหมาย
ความกระตือรือร้นเกี่ยวข้องกับปัจจัย 2 ปัจจัย ได้แก่
1. ปัจจัยด้านร่างกาย สะท้อนผ่านร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง
ปราศจากความอ่อนแอและความเหนื่อยล้า
2. ปัจจัยด้านจิตใจ สะท้อนผ่านเจตจำนงของบุคคล (volition)
หรือความสามารถในการควบคุมการกระทำของตัวเอง และความสามารถในการควบคุมสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
(effectance)
เป็นอุปนิสัยที่ให้คุณค่าและความสำคัญกับคนที่ใกล้ชิดทั้งเพื่อน ครอบครัว และคนรัก
มักจะเลือกใช้เวลา หรือทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อทำให้คนที่รักมีความสุข
มีทักษะในการแสดงความรัก
แสดงออกถึงความใกล้ชิดในแบบที่อบอุ่นและจริงใจ เป็นการแสดงความใจดีในรูปแบบความสัมพันธ์
ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงระหว่างกัน
และเป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกปลอดภัยด้วย
ความรัก คือ การตอบแทนซึ่งกันและกัน หมายความว่านอกจากจะรักผู้อื่น
ก็ยังเต็มใจที่จะรับความรักจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน สามารถสร้างความผูกพันที่ดีกับผู้อื่น
ไม่เกรงกลัวหรือพยายามถอยห่างออกจากความสัมพันธ์ ไม่วิตกกังวลว่าอีกฝ่ายคิดลบกับตัวเอง
พวกเขามั่นใจในคุณค่าของตัวเองเช่นเดียวกับที่มองเห็นคุณค่าของอีกฝ่ายใน ความสัมพันธ์
ความรักเกี่ยวข้องกับความรู้สึกเชิงบวก สายใยสัมพันธ์ และการเสียสละ เราสามารถผัสได้จาก
ความรักความผูกผันของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ความรักแบบมิตรภาพกับเพื่อน ความรักแบบโรแมนติก
หรือความรักแบบอื่น ๆ เช่น ความรักที่มีต่อสัตว์เลี้ยง และความรักแบบไม่มีเงื่อนไข
ซึ่งคนที่มีจุดแข็งความรัก จะสามารถรักษาความพึงพอใจในชีวิต และมองว่าตัวเองมีคุณค่า
เป็นอุปนิสัยที่ให้ความสำคัญกับการทำเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่น การมอบความห่วงใย
ความเอาใจใส่
ให้ความช่วยเหลือ และดูแลโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มองเห็นคุณค่าของคนรอบตัวพร้อม
ที่จะยื่นสิ่งดี ๆ
ให้
โดยเกิดจากองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่
1. ความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (empathy หรือ sympathy) คือ
ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น หรือความรู้สึกกังวล สงสารผู้ที่ตกอยู่ใน
ความลำบาก
ซึ่งก่อให้เกิดแรงจูงใจที่จะเข้าช่วยเหลือผู้อื่น
2. การให้เหตุผลทางจริยธรรม (moral reasoning) คือ
ความสามารถในการตัดสินว่าการกระทำหนึ่งถูกหรือผิดด้วยเหตุผลใด
เมื่อคนมีการใช้เหตุผลทางจริยธรรมที่เหมาะสมก็จะมีพฤติกรรมที่ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
3. ความรับผิดชอบต่อสังคม (social responsibility) คือ
ความเชื่อว่าตัวเองมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะทำสิ่งดี ๆ เพื่อผู้อื่นในสังคม
โดยเป็นหน้าที่ที่พึงมีโดยไม่ต้องมีผลตอบแทน
อุปนิสัยความใจดีนี้ต่างจากความรัก (love)
ตรงที่อุปนิสัยด้านความรักนั้นสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม
และความรักเป็นสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันทั้งคู่
ไม่ได้มีคนที่เป็นฝ่ายให้หรือฝ่ายรับเพียงคนเดียว
แต่ความใจดีนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ
แม้จะเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก
ผู้ที่มีอุปนิสัยความใจดีก็สามารถแสดงความห่วงใยแก่เขาได้
และความใจดีที่แสดงออกมานั้นไม่คาดหวังการตอบแทน
ผู้ที่มอบความเอาใจใส่แก่ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องได้รับความเอาใจใส่กลับก็ได้
เป็นอุปนิสัยที่ยอมรับในเอกลักษณ์และความแตกต่างกันของคนแต่ละคน
และมีทักษะในการตอบสนองต่อความแตกต่างกันนั้นแบบรายบุคคลได้
โดยถือว่าเป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสังคม ความเข้าใจตัวเอง
ความเข้าใจผู้อื่น
และความเข้าใจว่าตัวเองควรปฏิบัติตัวเองอย่างไรในสถานการณ์ต่าง ๆ
ความฉลาดทางสังคมประกอบไปด้วยด้าน ต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่
1. ความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) คือ การเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น
และตัวเอง
พร้อมทั้งสามารถนำความเข้าใจนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิ
2. ความฉลาดในการเข้าใจตัวเอง (personal intelligence) คือ การเข้าใจตัวเอง ความคิด
ค่านิยม
แรงจูงใจของตัวเอง ความสามารถและข้อจำกัดของตัวเอง รวมไปถึงการยอมรับตัวเองด้วย
3. ความฉลาดทางสังคม (social intelligence) คือ การเข้าใจโครงสร้างของสังคม
เข้าใจมิติต่าง
ๆ
ของความสัมพันธ์ที่ตัวเองมีการเข้าใจผู้อื่น
และสามารถนำความเข้าใจนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
ความฉลาดทางสังคมนี้มีความหมายคล้ายกับการมีมุมมองที่หลากหลาย (perspective)
ในแง่ที่อุปนิสัยนี้ช่วยให้คนมีมุมมองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวและความสัมพันธ์ในสังคมที่รอบด้าน
และทำให้ผู้ที่มี อุปนิสัยนี้สามารถให้คำแนะนำที่ดีกับผู้อื่นได้
นอกจากนี้ความฉลาดทางสังคมยังเป็นรากฐานของอุปนิสัยเชิงบวกอื่น ๆ เช่น ความใจดี
(kindness)
ความรัก (love) ความเป็นผู้นำ (leadership) อารมณ์ขัน (humor)
เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนถึงการตระหนักถึงหน้าที่ของตัวเองในสังคม (citizenship)
และการมีทักษะในการทำงานเป็นทีม (teamwork)
ทำให้ผู้ที่มีอุปนิสัยนี้เป็นคนที่สามารถร่วมแรงร่วมใจกับผู้อื่นถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีความคิดเห็นต่างกันเพื่อหาแนวทางที่ทุกคนในทีมสามารถมีส่วนร่วมและสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันได้
มีความมุ่งมั่นทำงานเพื่อกลุ่มหรือสังคมที่ตัวเองอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
โดยตอบสนองต่อความต้องการของตัวเองด้วย แต่จะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ส่วนรวมของสังคม
(common
good) มากกว่า ซึ่งอาจหมายถึงกลุ่มเพื่อนสนิท ครอบครัว ทีมงานในองค์กร ประเทศชาติ
หรือแม้แต่มวลมนุษยชาติ
ความเป็นพลเมืองและการทำงานเป็นทีมเกี่ยวข้องกับมโนทัศน์ 3
ประการที่มีความหมายใกล้เคียงและสัมพันธ์กัน ซึ่งทั้ง 3 มโนทัศน์
ล้วนมีความหมายที่สอดคล้องกับการสรรสร้างและกระจายผลประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมทั้งสิ้น
ได้แก่
1. ความรับผิดชอบต่อสังคม (social responsibility) คือ
แนวโน้มที่บุคคลจะช่วยเหลือผู้อื่นหรือสังคม
ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ผลประโยชน์จากการกระทำนั้นก็ตาม
2. ความภักดี (loyalty) คือ ความยึดมั่นและการเชื่อมั่นในคุณค่าหรืออุดมการณ์ต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพที่มีร่วมกับเพื่อน เป้าหมายขององค์กร หรือหลักปฏิบัติของศาสนา
3. ความรักชาติ (patriotism) คือ ความภักดีต่อบ้านเกิดหรือประเทศชาติของบุคคล
โดยปราศจากความเป็นปรปักษ์ต่อประชาชนของชาติอื่น ซึ่งแตกต่างจากความหมายของคำว่า
“ชาตินิยม”
(nationalism)
ความเป็นพลเมืองและการทำงานเป็นทีม ไม่ใช่การทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมอย่างไร้เหตุผล
หรือการรับใช้สังคมโดยไม่ตั้งคำถาม
แต่คือการทำเพื่อสังคมโดยการคิดวิเคราะห์ผลประโยชน์ที่สังคมจะได้รับอย่างรอบคอบและมีเหตุผล
(informed judgment)
เป็นอุปนิสัยที่เคารพในความเสมอภาคและความเท่าเทียม
ไม่ใช้ความรู้สึกหรืออคติส่วนตัวในการตัดสินผู้อื่น
พร้อมที่จะหยิบยื่นโอกาสให้กับผู้คนอย่างเท่าเทียม
มุ่งมั่นที่จะตัดสินและปฏิบัติต่อบุคคลบนกฎเกณฑ์และมาตรฐานเดียวกัน
ซึ่งการตัดสินดังกล่าวเป็นผลผลิตจากการใช้เหตุผลทางศีลธรรม (moral reasoning)
ประกอบไปด้วยการใช้เหตุผล 2 แบบ ได้แก่
1. การใช้เหตุผลด้วยตรรกะ (justice reasoning) คือ
การตัดสินความถูกผิดโดยไม่ใช้ความคิดเห็นหรือความรู้สึก (objective)
ส่วนตัวมาเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสิน โดยจะวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยเหตุและผลเท่านั้น
2. การใช้เหตุผลด้วยความรู้สึก (care reasoning) คือ
การตัดสินความถูกผิดโดยการทำความเข้าใจผู้อื่น (empathy)
และการใช้ทักษะการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
(compassion) เพราะความคิดเห็นของทุกคนมีความสำคัญ
เพราะว่าการใช้เหตุผลเหล่านี้ในการตัดสินว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด
จะขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางความคิดและแนวทางการดำเนินชีวิตของบุคคลเอง
จึงทำให้อุปนิสัยด้านความเท่าเทียมจะมีลักษณะที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล
ทั้งในแง่ของความมุ่งมั่นในความเท่าเทียมและการให้เหตุผลทางศีลธรรม อย่างไรก็ดี
การที่บุคคลจะมีอุปนิสัยด้านความเท่าเทียมที่เหมาะสมได้
บุคคลนั้นจะต้องยืนหยัดต่อความเท่าเทียมในทุกความสัมพันธ์ของตัวเอง
มีทักษะในการสร้างข้อตกลงอย่างเที่ยงธรรมผ่านการใช้เหตุผลทางนามธรรม (abstract logic)
ให้ความสำคัญต่อความเป็นธรรมทางสังคม (social justice) ใส่ใจต่อมุมมองของบุคคลอื่น
และมีความสามารถในการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผล
เป็นอุปนิสัยที่ช่วยนำพาให้คนในกลุ่มสามารถเดินทางสู่เป้าหมายได้และรักษาความสัมพันธ์ของคนในกลุ่มไปพร้อมกันด้วย
อีกทั้งยังสามารถสร้างขวัญและกำลังใจให้กับสมาชิกภายในกลุ่มได้เป็นอย่างดี
ผู้ที่มีความเป็นผู้นำจะมีการประสานงานกันระหว่างความสามารถทาง ความคิด (cognitive
attribute)
และทางอารมณ์ (temperament attribute) ที่ดี
ซึ่งจะนำไปสู่ทักษะที่จำเป็นมากมายตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย วางแผน ประเมิน แก้ปัญหา
การบริหารจัดการตัวเองและผู้อื่น
ไปจนถึงการมีจิตวิทยาที่ดีในการสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น
โดยอีกคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นผู้นำที่ดี คือการรู้จักตัวเอง (self-awareness)
กล่าวคือ
การเป็นผู้นำที่ดีจำต้องรู้จุดแข็งของตัวเองและสามารถใช้จุดแข็งเหล่านั้นเพื่อดึงศักยภาพของคนรอบข้างให้ปรากฏออกมาได้
อีกทั้งยังต้องมีความตระหนักรู้ทางสังคมด้วย (social awareness)
ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้บุคคลมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับคนได้อย่างหลากหลายมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เอง
บุคคลที่มีความเป็นผู้นำจึงสามารถที่จะนำพากลุ่มไปสู่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเป็นผู้นำสามารถแบ่งออกเป็น 2 มุมมอง ได้แก่
1. มุมมองทางปฏิบัติ (practice) คือ
การมองความเป็นผู้นำว่าเป็นลักษณะของความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ตามและผู้นำ
ซึ่งเป็นบทบาทที่กลุ่มเลือกหรือตั้งขึ้นมา หากมองความเป็นผู้นำในมุมนี้
คุณภาพของผู้นำจะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่อย่างกำหนดเป้าหมาย
ระบุหน้าที่
วางแผนงานให้กับกลุ่ม อำนวยความสะดวก ให้ความช่วยเหลือ
หรือสนับสนุนให้กลุ่มบรรลุตามเป้าหมาย
2. มุมมองทางคุณสมบัติส่วนบุคคล (personal) คือ
การมองความเป็นผู้นำว่าเป็นแรงจูงใจและความสามารถส่วนบุคคลที่จะเสาะหาการเป็นผู้นำและการปฏิบัติตามหน้าที่ของผู้นำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้นำจากมุมมองนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก ได้แก่
2.1 ความเป็นผู้นำเชิงเป้าหมาย (transactional leader) หมายถึง
ผู้นำที่ใช้วิธีการชักนำสมาชิกไปสู่เป้าหมายด้วยของตอบแทนที่สมาชิกต้องการ เช่น
เงินเดือน
เงินโบนัส การเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น
2.2 ความเป็นผู้นำเชิงปฏิรูป (transformational leader) หมายถึง
ผู้นำที่คอยให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลสมาชิก
เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานตามเป้าหมายของสมาชิก
รวมไปถึงการใช้วิสัยทัศน์ของตัวเองเป็นแรง
บันดาลใจให้ผู้ตามมีความมุ่งมั่นในเป้าหมายและปฏิบัติงานได้เกินความคาดหวังที่มี
เป็นอุปนิสัยที่สามารถทำความเข้าใจผู้ที่กระทำผิดต่อเรา พร้อมที่จะรับฟังเหตุผล
พิจารณาสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมาและปล่อยวางให้มันเป็นเรื่องในอดีตไป
ซึ่งรวมไปถึงการเข้าใจและให้อภัยตัวเองด้วย
มักจะไม่ยึดติดกับผลกระทบและอารมณ์เชิงลบอันเป็นผลมาจากการกระทำของบุคคลอื่น
ไม่ว่าจะเป็นความเกลียดชัง ความโกรธ ความเสียใจ ความต้องการที่จะแก้แค้น
หรือความเกลียดที่มีต่อผู้กระทำผิด แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
(humanity)
โดยจะพยายามแสดงความเห็นใจ (compassion) ต่อความพยายามและความเจ็บปวดของอีกฝ่าย
ถึงแม้ว่าตัวเองจะเคยได้รับผลกระทบเชิงลบจากบุคคลนั้นก็ตาม
ซึ่งการให้อภัยที่เกิดขึ้นจะเป็นการกระทำที่มาจากความต้องการภายในของตัวเอง
มิใช่การให้อภัยเพื่อให้ได้สิ่งภายนอก เช่น มิได้ยอมให้อภัยเพื่อให้ได้รางวัล
หรือการดูดีในสายตาของผู้อื่น
หากแต่เป็นการกระทำที่มาจากความต้องการภายในที่เชื่อว่าการหยิบยื่นโอกาสในการปรับปรุงตัวเองให้กับคนอื่นเป็นสิ่งที่ควรทำ
การมีจุดแข็งนี้ไม่ใช่การลืมสิ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในอดีต (forgetting)
ไม่ได้เป็นการปล่อยปะละเลยให้เกิดการกระทำผิดซ้ำ
ด้วยการบอกตัวเองว่าสิ่งที่ผู้อื่นทำนั้นไม่ผิด
หรือไม่จำเป็นต้องได้รับโทษ (condoning)
รวมไปถึงการให้อภัยนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องนำมาสู่การคืนดีกับผู้กระทำผิด
(reconciliation)
แต่การให้อภัยคือการยอมรับข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์แบบของผู้อื่น
เปรียบเสมือนการตอบสนองทางจิตใจ (psychological response)
ที่จะช่วยสมานแผลใจและอยู่เหนือความเจ็บปวดที่กำลังรู้สึก
ส่วนการแสดงออกคือปล่อยให้อดีตผ่านไปแทนการอาฆาตพยาบาท
เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนถึงการประเมินศักยภาพของตัวเองได้ตรงตามความเป็นจริง
และการมีความเชื่อภายในว่าตัวเองไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
หรือไม่ได้มีความพิเศษหรือสำคัญมากไปกว่าคนอื่น ซึ่งจะสะท้อนออกมาให้เห็นได้จากภายนอก
ทั้งพฤติกรรมและการใช้ชีวิตที่จะไม่แสวงหาการเป็นจุดสนใจ ความโดดเด่น หรือชื่อเสียง
ผู้ที่มีอุปนิสัยนี้มักเป็นคนที่ไม่พูดโอ้อวด
แต่จะปล่อยให้ผลงานเป็นตัวบ่งบอกศักยภาพของตัวเอง
เคารพและให้คุณค่ากับความไม่สมบูรณ์แบบทั้งของตัวเองและคนอื่น รวมทั้งไม่หลง
ระเริงไปกับคำชมและไม่ท้อแท้กับคำดูถูก
ความถ่อมตน ไม่ใช่การลดทอนคุณค่าของตัวเอง (self-deprecation) ไม่ใช่การนับถือตัวเองต่ำ
(low
self-esteem) หรือการละทิ้งที่จะใส่ใจตัวเอง (lack of self-focus)
แต่ความถ่อมตนที่แท้จริงเป็นการประเมินตัวเองที่ตรงตามความเป็นจริง
ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นทั้งสิ่งที่ตัวเองทำได้และไม่ได้
เห็นคุณค่าของผู้อื่นและตัวเองเท่า ๆ
กัน ผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนจึงมักจะหันเหความสนใจจากตัวเองไปที่บุคคลอื่นด้วย
เพื่อเป็นการทำให้บุคคลตระหนักถึงคุณค่าและรับรู้ว่าตัวเองมีความสำคัญไม่แพ้คนอื่น
เป็นอุปนิสัยที่ให้ความสำคัญกับการคิดก่อนลงมือทำ เป็นการวางแผน ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย
(goal-directed planning) มีทักษะในการมองหาและสร้างทางเลือกที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจทำ
หรือไม่ทำสิ่งต่าง ๆ โดยมักคำนึงถึงผลของการกระทำอย่างรอบคอบ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
อีกทั้งเปิดใจรับทางเลือกอื่นที่จะสามารถทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายได้
รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นผลเสียต่อตัวเองในอนาคต ดังนั้น
บุคคลเหล่านี้จะไม่ยอมแลกเป้าหมายระยะยาวของตัวเองไปกับความพึงพอใจระยะสั้นเป็นอันขาด
นอกจากนี้ ความรอบคอบยังเป็นตัวบ่งชี้ความสามารถในการบริหารเป้าหมายของตัวเองอีกด้วย
โดยผู้ที่มีความรอบคอบจะมีการวางแผนที่ยืดหยุ่น (flexibility)
จึงทำให้พวกเขาสามารถที่จะประสานเป้าหมายในชีวิตให้มีความสอดคล้องกัน
และสามารถดำเนินไปด้วยกันได้อย่างไม่ขัดแย้ง
นำมาซึ่งการเลือกเส้นทางชีวิตที่ตอบสนองความต้องการของตัวเองอย่างมีสมดุล
ความรอบคอบ ไม่ใช่การหวาดระแวงหรือกังวลกับการใช้ชีวิตจนเกินเหตุ
แต่เป็นการบริหารจัดการตัวเองอย่างยืดหยุ่น (flexible) และอยู่ในระดับที่เหมาะสม
(moderate)
ตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมาย ความ
รอบคอบจะไม่ใช่การจดจ่ออยู่กับเป้าหมายและความต้องการของตัวเองเท่านั้น
แต่เป้าหมายของผู้ที่มีความรอบคอบจะผ่านการคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่มีอยู่และความต้องการของผู้อื่นร่วมด้วย
นอกจากนี้การที่จะเป็นผู้ที่มีความรอบคอบได้จะต้องมีความระมัดระวังในทุกแง่มุมของชีวิต
ไม่ใช่การใส่ใจเพียงมุมเดียว เช่น ระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย การทำงาน
หรือการทำเป้าหมายให้สำเร็จ เป็นต้น
ความรอบคอบ มีลักษณะคล้ายกับอุปนิสัยการกำกับตัวเอง (self-regulation)
รวมกับอุปนิสัยการตัดสินใจ
(judgment)
คือมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณว่าควรหรือไม่ควรทำสิ่งใดและมีการกำกับตัวเองตามวิจารณญาณนั้น
เป็นอุปนิสัยที่เป็นแรงจูงใจเชิงบวกที่ผลักดันให้บุคคลควบคุมตัวเองในแง่ต่าง ๆ ได้
ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมตัวเองในทางอารมณ์ ความต้องการ การให้ความสนใจ (attention)
จนไปถึงการแสดงออกทั้งพฤติกรรมหรือสีหน้า ซึ่งบุคคลนั้นจะต้องใช้การตระหนักรู้ตัวเอง
(self-awareness) ในการสังเกตสภาวะต่าง ๆ ของตัวเอง
และปรับปรุงสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้ชีวิตมีระเบียบ คงอยู่ในเส้นทางที่ตัวเองวางไว้
และเกิดการพัฒนาตัวเองไปตามแผนการได้โดยไม่ออกนอกลู่นอกทาง
มักครอบคลุมตั้งแต่การเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการทำตามเป้าหมาย
ตามมาตรฐานของตัวเองและสังคมได้
หรือที่เรียกว่า การควบคุมตัวเอง (self-control)
การมีความสามารถในการควบคุมให้ตัวเองทำสิ่งที่ไม่อยากทำได้ เพื่อความคงเส้นคงวาในชีวิต
หรือที่เรียกว่า การสร้างวินัยให้ตัวเอง (self-discipline)
รวมไปถึงความสามารถที่จะจัดการและควบคุมการแสดงออกต่อความรู้สึกผิดหวังในชีวิตและความไม่มั่นใจของตัวเอง
(insecurity) ได้เป็นอย่างดี และยังอยู่ในระดับพอดี มีความสุข
และมีความยืดหยุ่นตามสมควรได้
การที่บุคคลจะสามารถกำกับตัวเองได้ บุคคลจะต้องสามารถควบคุม ปรับเปลี่ยน
หรือยับยั้งการตอบสนองเบื้องต้นของตัวเอง (initial response) ที่มีต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ
ทั้งภายในและภายนอก โดยการแทนที่ (override)
การตอบสนองนั้นด้วยการตอบสนองใหม่ที่เหมาะสมและตรงกับจุดมุ่งหมายของตัวเองมากกว่า
ซึ่งเป็นการกระทำที่ต้องใช้พลังงาน ราวกับว่าเป็นทรัพยากรทางร่างกายที่มีขีดจำกัด
หากบุคคลกำกับตัวเองเป็นเวลานาน บุคคลอาจหมดแรงและเหนื่อยล้า ดังนั้น
การที่บุคคลจะกำกับตัวเองเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จ เช่น การควบคุมอาหาร
การคุมเวลานอน
หรือการบังคับให้ตัวเองทำงานให้เสร็จในทุกวันได้อย่างคงเส้นคงวาและมีประสิทธิภาพนั้น
บุคคลจำต้องหมั่นฝึกฝนการกำกับตัวเองอยู่เสมอ
ซึ่งเปรียบเสมือนการออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
ความเหมือนต่างเมื่อเทียบกับอุปนิสัยในกลุ่มคุณธรรมด้านการยับยั้งชั่งใจ
การกำกับตัวเองเป็นจุดแข็งที่ครอบคลุมและมีส่วนส่งเสริมอุปนิสัยเหล่านี้
ซึ่งสิ่งที่แบ่งแยกอุปนิสัยอื่นกับการกำกับตัวเอง คือ
การกำกับตัวเองเป็นเพียงการควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงความรู้สึกหรือความต้องการ ณ
เวลาหนึ่ง ๆ
ซึ่งไม่จำเป็นต้องละทิ้งความเกลียดชังที่มีต่อบุคคลอื่นเหมือนในอุปนิสัยการให้อภัย
(forgiveness
and mercy) ไม่ต้องละทิ้งความเย่อหยิ่งของตัวเองเหมือนในอุปนิสัยความถ่อมตน (humility)
หรือไม่ต้องคำนึงผลเสียของความพึงพอใจระยะสั้นเหมือนอุปนิสัยความรอบคอบ (prudence)
เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนความสามารถในการสัมผัสและสังเกตเห็นถึงคุณค่าในทุกสรรพสิ่งของชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นความงดงามของงานศิลป์ ความลึกซึ้งของปรากฏการณ์รอบตัว
ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
หรือแม้แต่ความเป็นเลิศในผู้คน มีจุดแข็งในการมองเห็นความพิเศษในสิ่งเล็ก ๆ
และจะไม่มองข้ามคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ซึ่งการใคร่ครวญสิ่งต่าง ๆ
ด้วยความละเอียดอ่อนนี้จะนำมาซึ่งอารมณ์เชิงบวกและความพึงพอใจในชีวิตของบุคคล
รูปแบบของความงามและความเป็นเลิศที่จะส่งผลให้อุปนิสัยนี้ปรากฏออกมาได้ มี 3 แบบ
ซึ่งแต่ละรูปแบบจะนำมาซึ่งอารมณ์และความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่แตกต่างกัน
1. ความงามทางวัตถุ (physical beauty) คือ ความงามที่สามารถเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง
5
ของเรา
ไม่ว่าจะเป็นความงามของธรรมชาติหรือความไพเราะของบทเพลง
ซึ่งความงามในรูปแบบนี้จะทำให้บุคคลเกิดอารมณ์เชิงบวกที่เรียกว่าความอัศจรรย์ใจ (awe &
wonder)
คือความรู้สึกที่ทั้งดีและน่าค้นหาของธรรมชาติรอบตัว
2. ความดีเลิศ (excellence) คือ การแสดงออกของทักษะหรือพรสวรรค์อันเป็นเลิศของบุคคล เช่น
การได้รับชมทักษะการแสดงละครอันยอดเยี่ยม
หรือได้พบเห็นการออกแบบอาคารอย่างไร้ที่ติของสถาปนิก
ซึ่งความงามในรูปแบบนี้จะนำมาซึ่งความรู้สึกชื่นชมยินดี (admiration)
3. คุณงามความดี (moral beauty) คือ การได้รับรู้ถึงคุณสมบัติที่ดีในตัวผู้คน เช่น
การแสดงออกถึงการมีจิตใจที่ดี ความเห็นอกเห็นใจ หรือการให้อภัย เป็นต้น
ซึ่งประสบการณ์ที่ได้จากความงามรูปแบบนี้จะก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและยกระดับให้พวกเขามีแรงขับที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
(elevation)
เป็นอุปนิสัยที่สะท้อนออกมาผ่านความรู้สึกขอบคุณ ขอบคุณในสิ่งดี ๆ ที่ตัวเองได้รับ
ราวกับว่ากำลังได้รับของขวัญ
ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณมาจากการที่บุคคลรับรู้และซาบซึ้งในคุณประโยชน์ที่ได้รับจากผู้อื่นหรือสถานการณ์ต่าง
ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกขอบคุณจากสิ่งที่ผู้อื่นทำให้
ความสำเร็จที่ตัวเองได้รับ
หรือการได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่อบอุ่น
ความรู้สึกขอบคุณจากสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งความสุข
โดยอารมณ์สุขเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้บุคคลเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองให้ไปในทางที่ดีขึ้น
ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณจึงช่วยทำให้เกิดความใจดี (kindness) และความรัก
(love)
ซึ่งเป็นอุปนิสัยเชิงบวกที่เกี่ยวข้องกับความเห็นอกเห็นใจ (empathy)
และการมีความสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง
ทั้งนี้ อุปนิสัยความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง ได้แก่
1. ความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ (sense of appreciation)
2. การมีเจตนาดีให้แก่บุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ (sense of good will)
3. แรงจูงใจที่จะตอบแทนบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ
อันสอดคล้องกับความรู้สึกซาบซึ้งและเจตนาดีที่ได้รับ
(disposition to act)
นอกจากนี้
ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณยังเป็นอุปนิสัยที่ผลักดันให้บุคคลถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณของตัวเองออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้อยู่บ่อยครั้ง
ผ่านการตอบแทนด้วยการกระทำต่าง ๆ อย่างการแสดงความเอาใจใส่ ให้ของขวัญตอบแทน
หรือการพูดว่า
“ขอบคุณ”
อีกทั้งยังทำให้บุคคลสัมผัสถึงคุณค่าของตัวเองและความเชื่อมโยงระหว่างตัวเองกับคนอื่น
รวมถึงธรรมชาติแวดล้อมต่าง ๆ
อุปนิสัยนี้จึงเป็นคุณค่าที่จะเปิดประตูให้บุคคลใช้อุปนิสัยเชิงบวกอื่น ๆ มากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นความใจดี (kindness) ความอยากรู้อยากเห็น (curiosity) ความหวัง (hope)
ความศรัทธา
(spirituality) และความกระตือรือร้น (zest)
เป็นอุปนิสัยที่มีมุมมองความเป็นไปได้ของอนาคตในเชิงบวก แม้ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่แค่ไหน
ซึ่งเป็นการมีมุมมองต่อสถานการณ์เชิงบวกในแง่ดีที่มีรากฐานอยู่ในความเป็นจริง
(realistic
optimism) เกิดเป็นความเชื่อว่าผลลัพธ์ที่ตัวเองพึงปรารถนาจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ทำให้พวกเขามั่นใจในศักยภาพของตัวเอง ไม่ย่อท้อต่อความผิดพลาดในอดีต
และลงมือทำเพื่อให้ตัวเองบรรลุผลตามที่ต้องการ
อีกทั้งยังสามารถจุดประกายความหวังในตัวคนรอบข้างให้เดินไปสู่สิ่งที่พวกเขาต้องการได้อีกด้วย
การมีความหวังไม่ได้เป็นการนำมุมมองเชิงบวกที่ไม่มีรากฐานอยู่ในความเป็นจริง
(unrealistic
optimism) มาเป็นข้ออ้างให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ แล้วไม่ทำอะไร แต่ในทางกลับกัน
การมีความหวังเป็นการมอง สถานการณ์ตามจริง
เพียงแต่จะเห็นความเป็นไปได้เชิงบวกมากกว่าเชิงลบ
และมุมมองดังกล่าวจะผลักดันให้บุคคลมีพลังในการลงมือกระทำ (action-oriented)
เพื่อนำพาตัวเองไปสู่เป้าหมายได้อย่างมุ่งมั่น
นอกจากนี้ การมีความหวัง หรือการมองโลกในแง่ดี เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์เชิงบวกมากมายในชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการมีสุขภาวะทางจิตและทางกายที่ดี (well-being) ความสำเร็จในชีวิต
หรือการมีความสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่ดี ด้วยเหตุนี้ ทำให้อุปนิสัยของการมีความหวัง
(hope)
มีความเกี่ยวข้องกับสุขภาวะของบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
อุปนิสัยการมีความหวังเชื่อมโยงกับอุปนิสัยความกระตือรือร้น (zest)
เพราะทั้งคู่เป็นอุปนิสัยที่สื่อถึงความรู้สึกเชิงบวกต่อสถานการณ์
สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่แตกต่างกันอยู่ที่การนำเจตคติเชิงบวกมาใช้
ความกระตือรือร้นจะมุ่งเน้นที่การนำเจตคติเชิงบวกมาใช้ ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน
แต่การมีความหวังจะมุ่งเน้นในการปรับใช้กับอนาคต
นอกจากนี้การมีความหวังยังเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ (gratitude)
และการมีความรัก (love) อีกด้วย
จึงทำให้ผู้ที่มีความหวังส่งผลต่อคนรอบข้างในเชิงบวกและเป็นที่รักของทุกคน
เป็นอุปนิสัยที่สามารถมองเห็นด้านบวกของสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าสถานการณ์ นั้นจะดี แย่
หรือน่าเบื่อหน่ายแค่ไหน โดยจะถ่ายทอดความร่าเริง (cheerfulness)
สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับผู้อื่นได้ ผ่านการเหย้าแหย่ เล่นมุก
หรือเล่าเรื่องตลกขบขันได้อย่างถูกจังหวะและเวลา
อารมณ์ขันเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอารมณ์เชิงบวกให้แก่ตัวเองและผู้อื่น
นำไปสู่การสานสัมพันธ์และความปรองดองกันภายในกลุ่ม เลยเป็นจุดแข็งที่ทุกคนพึงปรารถนา
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นจุดแข็งที่จำเป็นต่อการมีความสัมพันธ์อันดีก็ตาม
อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับความเครียดและอุปสรรคต่าง ๆ
ในชีวิตและเป็นตัวช่วยในการปรับปรุงสุขภาวะทางจิตของบุคคลให้ดีขึ้นได้อีกด้วย
นอกจากนี้ อารมณ์ขันยังสามารถเป็นอุปนิสัยที่ไปส่งเสริมจุดแข็งอื่น (value-added
strength)
ได้ด้วย ซึ่งจะถูกแสดงออกมาเป็นการกระทำที่สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น เช่น
เมื่อการมีอารมณ์ขันทำงานร่วมกับความเป็นผู้นำ (leadership)
จะทำให้บุคคลนั้นเป็นผู้นำที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้สมาชิกภายใต้สถานการณ์อันตึงเครียดได้และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกทีมด้วย
การสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สร้างความสนุกสนานในการทำงาน
และมีทักษะในการให้คำวิจารณ์ที่สอดแทรกไปด้วยอารมณ์ขัน
ส่งผลให้ลูกทีมสามารถรับคำวิจารณ์ได้ดีขึ้น เป็นต้น
การแสดงอารมณ์ขันที่ตรงตามอุปนิสัยเชิงบวกจะไม่ใช่การแสดงความหยาบคาย อย่างการเยาะเย้ย
(mockery)
หรือการ พูดจาเสียดสี (sarcasm) และไม่ใช่การล้อเลียน (parody) หรือการแกล้งคน
(practical
joke)
ที่จะมีความก้ำกึ่งระหว่างการสร้างความขบขันและการทำให้สร้างความขุ่นเคือง
นอกจากนี้
การมีอารมณ์ขันเป็นการสร้างเสียงหัวเราะที่สะท้อนถึงความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อผู้อื่น
(sympathy) ซึ่งแตกต่างจากการล้อเลียน (ridicule) ที่อยากจะกดผู้อื่นให้ตำ่
การมีไหวพริบในการโต้ตอบ (wit) ที่อยากแสดงความเหนือกว่าผู้อื่น
หรือการแสดงความครื้นเครง
(fun)
ที่เพียงเพื่ออยากจะแสดงความมีชีวิตชีวาของตัวบุคคล
ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะสร้างเสียงหัวเราะให้แก่คนรอบข้างได้ในบางสถานการณ์
แต่ไม่ได้สะท้อนถึงเจตนาที่จะสร้างความสุขให้ผู้อื่นอย่างแท้จริง
เป็นอุปนิสัยที่เชื่อมโยงการมีอยู่ของตัวเองกับสิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์
ทั้งในด้านความคิดและด้านอารมณ์
เปรียบเสมือนการที่บุคคลมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (sacred)
อย่างสิ่งที่บุคคลให้การเคารพ ชื่นชม หรือบูชา โดยอาจจะเกี่ยวข้องกับพระผู้เป็นเจ้า
(divine)
หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในรูปของความหมายในชีวิต (sense of meaning)
จุดมุ่งหมายของการมีอยู่ของสรรพสิ่ง (purpose) ความจริงของจักรวาล
หรือคุณงามความดีของมนุษย์
ความศรัทธาจะผลักดันให้บุคคลดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า (moral value)
เพื่อรับใช้เป้าหมายหรือคุณค่าที่ยึดถือ เช่น การที่บุคคลยึดถือว่า “ทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว”
ความศรัทธานี้จะทำให้การทำดีของเขาเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้
ความศรัทธายังช่วยผลักดันให้บุคคลเปิดใจที่จะยอมรับสิ่งใหม่ (open- minded)
และช่วยในการสานสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างได้อีกด้วย
ความศรัทธานั้นสอดแทรกไปในทุกแง่มุมของชีวิต โดยจะชี้นำความคิด พฤติกรรม การมองโลก
ความสัมพันธ์
รวมถึงการตั้งเป้าหมายและตัวตนให้มีความสอดคล้องกับสิ่งที่ยึดถือ
คล้ายคลึงกับความเลื่อมใส
ในศาสนา (religiousness)
จึงไม่แปลกที่ความศรัทธาและความเลื่อมใสมักเป็นคำที่ถูกใช้ในความหมายเดียวกัน
อย่างไรก็ดี
สิ่งที่แบ่งแยกสองสิ่งนี้ออกจากกัน คือ
ความเลื่อมใสมีความหมายเจาะจงไปที่ความเชื่อและพิธีกรรมที่ถูกกำหนดมาแล้ว
ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับการบูชาพระผู้เป็นเจ้า (divine figure)
แต่ความศรัทธาจะมีความหมายที่กว้างกว่า คือการมีชุดของความเชื่อและอารมณ์ต่าง ๆ
ที่ให้ความหมายแก่การมีอยู่ของบุคคล (one’s place in the world)
เป็นอุปนิสัยที่ยอมรับในเอกลักษณ์และความแตกต่างกันของคนแต่ละคน และมีทักษะในการตอบสนองต่อความแตกต่างกันนั้นแบบรายบุคคลได้ โดยถือว่าเป็นอุปนิสัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางสังคม ความเข้าใจตัวเอง ความเข้าใจผู้อื่น และความเข้าใจว่าตัวเองควรปฏิบัติตัวเองอย่างไรในสถานการณ์ต่าง ๆ ความฉลาดทางสังคมประกอบไปด้วยด้าน ต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่
1. ความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) คือ การเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น และตัวเอง พร้อมทั้งสามารถนำความเข้าใจนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิ
2. ความฉลาดในการเข้าใจตัวเอง (personal intelligence) คือ การเข้าใจตัวเอง ความคิด ค่านิยม แรงจูงใจของตัวเอง ความสามารถและข้อจำกัดของตัวเอง รวมไปถึงการยอมรับตัวเองด้วย
3. ความฉลาดทางสังคม (social intelligence) คือ การเข้าใจโครงสร้างของสังคม เข้าใจมิติต่าง ๆ ของความสัมพันธ์ที่ตัวเองมีการเข้าใจผู้อื่น และสามารถนำความเข้าใจนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์
ความฉลาดทางสังคมนี้มีความหมายคล้ายกับการมีมุมมองที่หลากหลาย (perspective) ในแง่ที่อุปนิสัยนี้ช่วยให้คนมีมุมมองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ส่วนตัวและความสัมพันธ์ในสังคมที่รอบด้าน และทำให้ผู้ที่มี อุปนิสัยนี้สามารถให้คำแนะนำที่ดีกับผู้อื่นได้ นอกจากนี้ความฉลาดทางสังคมยังเป็นรากฐานของอุปนิสัยเชิงบวกอื่น ๆ เช่น ความใจดี (kindness) ความรัก (love) ความเป็นผู้นำ (leadership) อารมณ์ขัน (humor)